Review : ประสบการณ์การปรับโครงหน้าด้วยการร้อยไหม ฉีดฟิลเลอร์ และโบทอกซ์ ที่ AIC CLINIC (ตอนที่ 1)
วันนี้ส้มจะมาเล่าประสบการณ์ในการร้อยไหม และ ฉีดฟิลเลอร์เป็นครั้งแรกในชีวิต
ให้เพื่อนๆได้อ่านเป็นข้อมูลเผื่อมีใครกำลังสนใจที่จะลองทำดูนะคะ
ส้มได้ไปทำกับคุณหมอพุฒิพงษ์ ภูมิสุวรรณ ที่ AIC Clinic พระราม 4
ซึ่งถ้าใครได้ติดตามอ่านบล๊อกส้มมาซักพัก น่าจะพอคุ้นๆกับชื่อนี้
เพราะว่าส้มได้ รักษาหลุมสิวด้วยวิธีการ Stamping และ Air Dissector
กับคุณหมอที่นี่และก็ได้ผลชัดเจน ดีกว่าการรักษาด้วยเลเซอร์ที่เคยทำมาก่อนหน้านี้
ประกอบกับการที่ได้ศึกษาข้อมูลด้วยตัวเองและได้ศึกษาจากคุณหมอ
ส้มก็ได้รู้ว่า คุณหมอพุฒิพงษ์นั้นเป็นแพทย์คนไทยคนแรก
ที่นำนวัตกรรมการร้อยไหมเข้ามาเมืองไทย
หลายๆคนอาจจะได้ยินชื่อว่า “ร้อยไหม” แล้วต้องเกิดคำถามขึ้นมาอย่างแน่นอน
เพราะส้มเจอกับตัวเองเลย มีหลายคนที่เข้ามาถามว่า
“มันดีจริงหรือเปล่าคะ” “ร้อยไหมอันตรายนะ ทำไมถึงกล้าทำ นู่นนี่นั่น”
อย่างที่ส้มบอกไปนะคะว่า คุณหมอเป็นคนแรกที่นำการร้อยไหมเข้ามาในเมืองไทย
และคุณหมอก็เป็นผู้ที่นำวิธีการร้อยไหมมาสอนให้กับแพทย์ในเมืองไทย
จึงได้มีการร้อยไหมกันอย่างแพร่หลายตามคลีนิคต่างๆ
ส้มเองบอกตามตรงว่า เชื่อใจในฝีมือของคุณหมอเอง ถึงได้กล้าทำ
เพราะคุณหมอเป็นคนพูดตามความจริงด้วยเหตุผลและข้อมูลที่เป็นความจริง
ผนวกกับข้อมูลที่ได้ศึกษามานั้น ก็ทำให้ส้มตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ซึ่งการปรับรูปหน้าครั้งนี้ จะเรียกว่าเป็น Face Transformation ค่ะ
ก็คือการปรับโครงสร้างของใบหน้านั่นเอง
ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการ ร้อยไหม ฉีดฟิลเลอร์ หรือ โบทอกซ์
อันนี้ก็แล้วแต่รูปหน้าและปัญหาของแต่ละคนค่ะ
เอาล่ะ…ก่อนที่จะไปดูขั้นตอนการปรับโครงหน้าครั้งนี้
ให้ทุกคนได้เตรียมใจก่อนดูภาพสยดสยอง..อิอิ ไม่ใช่ค่ะ ล้อเล่น
ส้มอยากจะให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ ได้รู้มากขึ้นเกี่ยวกับนวัตกรรมนี้
หรือหลายๆคนที่กำลังสนใจเรื่องการร้อยไหม หรือฉีดฟิลเลอร์อยู่
จะได้ศึกษาข้อมูลนี้ก่อนการตัดสินใจค่ะ
ข้อมูลเกี่ยวกับการร้อยไหม >> คลิกที่นี่
ข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์ >> คลิกอ่านที่นี่
ตัวส้มเองพอได้พูดคุยกับคุณหมอหลายครั้ง ประกอบกับข้อมูลต่างๆที่คุณหมอให้มา
ทำให้เราได้เกิดความมั่นใจและกล้าที่จะลองปรับรูปหน้าในครั้งนี้ดู
ก่อนอื่น คุณหมอจะเป็นผู้ดูโครงสร้างใบหน้าของเราก่อน
ว่ามีปัญหาตรงไหนที่ควรจะต้องแก้ หรือ เสริมบ้าง
ปัญหาของใบหน้าส้มคือ
คุณหมอบอกว่า จมูกส้มโด่งมาก จนทำให้ใบหน้าดูแบน
เพราะมีแค่ส่วนเดียวที่เด่นชัดสุด อีกทั้งใบหน้าเริ่มหย่อนคล้อยตามวัยและคางสั้น
คุณหมอเลยบอกว่า จะต้องทำการร้อยไหมยกระชับ
ฉีดฟิลเลอร์ตรงโหนกแก้ม คาง ร่องแก้ม มุมปากและ โบทอกซ์คาง
หลังจากนั้นก็เตรียมตัวเตรียมใจเจ็บตัวได้แล้วค่ะ ^_^
ก่อนอื่น จะต้องทายาชาให้ทั่วบริเวณที่จะทำการปรับโครงหน้า
และทิ้งไว้ประมาณ 45 นาทีค่ะ แต่จะบอกว่า ยาชาคุณหมอนี่ ชาจริงๆค่ะ
แป้บเดียวก็รู้สึกชาทั่วหน้า ถ้าผู้ช่วยหมอนวดยาชาให้ด้วยนะคะ
เรียกว่า ชาถึงลิ้นกันเลยทีเดียว
ในระหว่างรอ ผู้ช่วยคุณหมอจะไปเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม
ซึ่งเห็นแล้วก็…อืม เยอะขนาดนี้เลยเหรอ
ท่าจะโดนชุดใหญ่เข้าแล้ว ส้มเอ๊ย…แอบเสียวเล็กน้อย
(แต่พอถึงเวลาจริงๆ เยอะกว่าที่เห็นบนถาดนี้อีกค่ะ)
พอหน้าเริ่มชาแล้ว ผู้ช่วยหมอจะทำการเช็ดยาชาออก
และเช็ดทำความสะอาดผิวอีกครั้งด้วยแอลกอฮอล์
และฆ่าเชื้ออีกครั้งด้วย เบตาดีนค่ะ
และก็ถึงเวลาที่คุณหมอจะเริ่มปฏิบัติการแล้ว…ตื่นเต้นๆๆ
ก่อนที่จะทำการร้อยไหมหรือฟิลเลอร์นั้น
จำเป็นต้องฉีดยาชาเพื่อลดอาการเจ็บ
แต่ส้มจะบอกเลยนะคะว่า “ฉีดยาชาเนี่ยแหละเจ็บที่สุดของการทำครั้งนี้แล้ว”
ตอนคุณหมอฉีดและเร่งยาเข้าใต้ผิวเนี่ย เจ็บจี๊ดดดดดดดเลย
คุณหมอจะจิ้มฉีดยาชาทั่วหน้าเลยค่ะ เพื่อที่จะได้ให้รู้สึกชาไม่เจ็บเวลาทำ
ไม่ได้นับว่าคุณหมอจิ้มไปที่กี่ แต่รู้ว่าเยอะมาก แทบจะทุกอณูเลย
แต่แป้บเดียวไม่กี่นาที หน้าก็ชาได้ที่ ไม่รู้สึกอะไรแล้วค่ะ
เอาล่ะ…มาดูขั้นตอนแรกกันก่อนเลย
คุณหมอเริ่มจากการ ฉีดฟิลเลอร์ ของยี่ห้อ Juvederm
ผลิตโดยบริษัท Allergan อเมริกา
ซึ่งเป็นยี่ห้อที่ดีที่สุดที่แพทย์ส่วนใหญ่เลือกใช้กัน
ขั้นตอนในการฉีดฟิลเลอร์
คุณหมอจะใช้ เข็มทู่ หรือ Blunt Needle
(ลักษณะจะคล้ายกับหลอดขนาดเล็ก
นึกภาพคล้ายๆกับหลอดยาคูลท์แต่เล็กกว่าหน่อย)
ซึ่งข้อดีของการใช้เข็มทู่ก็คือ จะไม่แทงทะลุเส้นเลือดใต้ผิวเหมือนเข็มเล็กทั่วไป
ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดค่ะ
พอคุณหมอใช้เข็มทู่เหมือนกับการเจาะรูเปิดทางแล้ว
จากนั้นก็จะทำการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในรูที่เจาะเอาไว้
ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์นี้ จะต้องฉีดให้ลึกจนถึงกระดูก
ดังนั้นโอกาสที่จะโดนเส้นเลือดแดงมีสูงมาก
หากแพทย์ไม่มีความชำนาญมากพอ อาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ค่ะ
(ในตอนนี้ส้มแค่รู้สึกจี๊ดๆเล็กน้อยๆค่ะ
เพราะยาชามันชาทั่วทั้งหน้าแล้ว แต่อาจจะได้ยินเสียง แคร่กๆ บ้าง)
คุณหมอได้ทำการฉีดฟิลเลอร์ให้ส้มตรงบริเวณโหนกแก้มเป็นจุดแรกก่อน
เห็นภาพอาจจะหวาดเสียวค่ะ แต่จริงๆไม่เจ็บเลย เพราะหน้ามันชามาก
(รูปนี้คุณหมอมาฉีดซ้ำให้อีกทีหลังร้อยไหมเสร็จ เพราะหน้าส้มมันไม่เท่ากัน)
ฉีดทั้ง 2 ข้างเพื่อโหนกแก้มเท่ากัน
และได้ฉีดบริเวณร่องแก้ม และคางเพื่อทำให้คางยาวขึ้น
และยังฉีดฟิลเลอร์ให้รอบมุมปากเพื่อให้ปากดูเชิดและได้รูปมากยิ่งขึ้นค่ะ
พอทำการฉีดฟิลเลอร์เต็มจุดบกพร่องบนใบหน้าแล้ว
จากนั้นคุณหมอก็ได้ทำการร้อยไหมในขั้นตอนต่อไป
ไหมชนิดแรกคือ ไหม Double Twist
เหมาะสำหรับบริเวณแนวกราม
และแนวหน้าหู ไรผม หรือแนวกรอบหน้านั่นเอง
ทำให้ช่วยสร้างแนวกรอบหน้าให้เข้ารูปได้ดี
อย่างของส้ม คุณหมอก็จะใช้ไหม Double Twist ขนาด 80mm.
ในการร้อยบริเวณแนวกราม หรือ กรอบหน้า เพื่อทำให้หน้าได้รูปมากขึ้น
อย่างในรูปด้านล่าง คุณหมอก็ได้ใช้ไหม Double Twist ขนาด 50mm
ในการร้อยบริเวณด้านล่างช่วงคอ เพื่อดึงให้หน้าเข้ารูป v Shape มาขึ้น
(จริงใช้ตรงแนวร่องแก้มด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ)
อย่างในรูปข้างล่าง คุณหมอก็ใช้ไหม Ultra V ขนาด 30 mm ในการร้อยบริเวณถุงใต้ตา
เพื่อลดอาการบวมของถุงใต้ตาให้ตื้นขึ้น
และก็ใช้ไหม Ultra V ขนาด 50mm. ร้อยบริเวณโหนกแก้ม
ซึ่งในการร้อยไหมคุณหมอจะเป็นคนพิจารณาเองว่าใบหน้าแบบนี้ต้องใช้ไหมแบบไหน
ร้อยตรงบริเวณไหนเพื่อปรับสมดุลให้ใบหน้าได้ดีที่สุดค่ะ
หลังจากได้ทำการฉีดฟิลเลอร์ และร้อยไหมเสร็จแล้ว
ขั้นตอนสุดท้ายคือ การฉีดโบทอกซ์คาง
คุณหมอใช้ สาร Botulinum Toxin ของยี่ห้อ BOTOX
โดยบริษัท Allegan อเมริกา ซึ่งเป็นยี่ห้อที่ดีที่สุดแล้วในปัจจุบัน
การฉีดโบทอกที่คางก็เพื่อทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคางนั้นเล็กลง
ซึ่งจะทำให้คางดูได้รูปมากยิ่งขึ้น และจะไปเสริมกับฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป
ทำให้คางดูยาวขึ้นได้รูปมากยิ่งขึ้นค่ะ
ซึ่งในขั้นตอนการปรับรูปหน้าครั้งนี้นั้น
สำหรับใบหน้าส้มใช้เวลาไปประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงค่ะ
จะบอกว่า ด้วยความที่ยาชามันยามาก ทำให้เวลาลืมตาแทบจะลืมไม่ขึ้น
รู้สึกหนักๆตาอยู่ตลอด เลยหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ZzzzZZzz
หลายคนชอบถามว่าเจ็บมั้ย เห็นรูปแล้วกลัว บอกได้เลยว่า ไม่เจ็บ
เพราะขั้นตอนที่เจ็บที่สุดคือการฉีดยาชา อย่างที่บอกไปค่ะ
เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวนะคะ (สำหรับคนที่กำลังสนใจอยากจะทำนะคะ)
และก่อนกลับบ้าน คุณหมอจะให้ยามา 2 อย่าง
อันแรกจะเป็นยาทาบริเวณที่เกิดอาการช้ำเป็นเขียวๆ
และยาทาลดการอักเสบค่ะ
เอาล่ะ..พอผ่านไปได้ 1 วัน
ตื่นเช้ามาส้มก็เลยถ่ายรูปมาให้ได้ดูค่ะ ว่าหลังจากปรับรูปหน้ามา
หน้าสดๆจะเป็นอย่างไรบ้าง
ความรู้สึก : วันแรกนี่ หน้าตึงมาก อ้าปากแทบไม่ได้เลย
และจะรู้สึกจี๊ดๆบ้างบางจุดเวลามือไปสัมผัสโดน
กินข้าวก็ลำบาก ขนาดช้อนโยเกิร์ตส้มยังอ้าได้ไม่เต็มที่เลย
เรียกได้ว่า วันแรกไม่ได้กินข้าวค่ะ กินแต่นม
และพยายามกินโยเกิร์ตแบบอ้าปากเล็กๆเอา
ปกติก็ปากเล็กมากอยู่แล้ว ทีนี้เลยทรมานหน่อย
และผ่านมาอีก 7 วัน….นี่คือใบหน้าสดค่ะ
ความรู้สึก : วันที่ 7 นี้ไม่เจ็บแล้ว แต่หน้าเขียวเป็นจ้ำๆ ทั่วหน้าเลย
ต้องใช้คอลซีลเลอร์กลบรอยเขียวๆ แต่ไม่รู้สึกเจ็บมาก
แต่หน้ายังบวมอยู่เล็กน้อย ส่วนรอยเข็มที่ร้อยไหมไปนั้นก็ลดน้อยลงแล้วค่ะ
และเมื่อผ่านมาครบ 1 เดือนพอดี นี่ก็คือใบหน้าที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
อาจจะยังไม่ค่อยชัดมาก แต่ส้มรู้สึกได้เลยว่า ผิวหน้ากระชับขึ้น
ดูเต่งตึงมากขึ้น เวลาเอานิ้วไปจิ้มที่แก้ม ผิวจะเด้ง ยืดหยุ่นดีกว่าเดิมเยอะเลยค่ะ
งั้นให้ดูรูปด้านล่างนี้ดีกว่านะคะ
ซึ่งคุณหมอได้ถ่ายเอาไว้ก่อนและหลังทำได้ 5 สัปดาห์
จากรูปจะสังเกตเห็นได้ชัดเลยค่ะว่า หน้ารูปกระชับมากขึ้น
ไม่หย่อนคล้อยเหมือนตอนแรก และหน้าเรียวมากยิ่งขึ้น
แต่จะได้ผลเต็มที่ก็คือประมาณ 2 เดือนค่ะ
ซึ่งในสัปดาห์ที่ 5 นี้ส้มได้เอาหน้ามาให้หมอได้ถ่ายรูปเปรียบเทียบเอาไว้
และคุณหมอก็ได้ดูรูปหน้าอีกครั้ง และได้ทำการฉีดฟิลเลอร์ให้ส้มเพิ่มเติมอีกด้วย
ซึ่งในรีวิวครั้งหน้า ส้มจะมารีวิวผลการเปลี่ยนแปลงให้ได้ดูอีกทีนะคะ
ราคาและสถานที่
อย่างที่บอกไปว่า แต่ละคนปัญหาไม่เหมือนกัน
ต้องเอาหน้ามาให้คุณหมอดูอีกทีค่ะว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
สำหรับของส้มเอง ราคาค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 200,000 – 250,000 บาท
โดยได้ร้อยไหมไป 106 เส้น ฟิลเลอร์ 1 หลอด โบทอกซ์ 40 ยูนิต
ส้มทำกับคุณหมอพุฒิพงศ์ ที่ ศูนย์นวัตกรรมความงามกรุงเทพ พระราม 4
หากใครสนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
หรือโทร (02)2871200-5
สำหรับวันนี้ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่าน
และขอขอบพระคุณ คุณหมอพุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ
สำหรับการทำ Face Transform ให้ส้มในครั้งนี้ด้วยค่ะ
อ่านต่อ >> (ตอนที่ 2)
Sponsored By