Review : Air Shine นวัตกรรมอัพผิวให้ฉ่ำน้ำแบบสาวเกาหลี
เรียกได้ว่าเทรนด์เกาหลีก็ยังมาแรงแซงทางโค้งแบบไม่ตกอันดับ
แม้จะผ่านไปหลายปีดีดักก็ยังคงฮิตอยู่
โดยเฉพาะการดูแลผิวหน้าให้สุขภาพดีผิวอิ่มน้ำแบบสาวเกาหลี
บอกตามตรงตอนแรกก็สงสัยนะทำไมผิวเค้าดีกันจัง
เวลาดูซีรีย์เกาหลีก็ชอบดูผิวนางเอก ทำไมมันเงา วาว ฉ่ำน้ำกันจัง
นอกจากการดูแลอาหารการกินและ การดูแลผิวภายนอกของสาวเกาหลีแล้ว
ส้มเองก็พึ่งรู้ว่ามีเทคโนโลยีอีกตัวนึงที่เป็นการทำให้ผิวหน้าฉ่ำน้ำ
ซึ่งที่เกาหลีเป็นที่นิยมเอามากๆๆ
เมื่อหลายเดือนที่แล้ว นพ.พุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ
ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและชะลอวัย
ผู้ก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมความงามกรุงเทพ AIC (Aesthetic InnovationCenter)
และผู้อำนวยการต่างประเทศเอเชียแฟซิฟิก สมาคมแพทย์เกาหลีเพื่อความงาม
และศัลยกรรมความงาม ได้เชิญส้มเข้าไปที่คลีนิคและพบกับ
ดร.ควอน ฮัน จิน (Dr.Kwan Han Jin)
แพทย์ผิวหนังตัวพ่อของเกาหลีที่สร้างความงามความหน้าใส ตึง เด้ง
ให้เหล่าดารา นักแสดง นักร้อง เซเล็บ ไฮโซของเกาหลีมากมาย
ผู้คิดค้นศาสตร์แห่งความงามนวัตกรรมไหมกระชับใบหน้า
เป็นคนแรกของโลกและเป็นผู้ก่อตั้ง Ultra V clinic
ซึ่ง Dr. Kwan Han Jin ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ Air Shine ไว้ดังนี้ค่ะ
ที่มาของนวัตกรรม AirShine (หรือบางทีเรียกว่า Water Shine)
เกาหลีเป็นประเทศที่มีสภาพอากาศเย็นแห้ง ทำให้คนมีผิวแห้งกร้าน
เพราะด้วยลักษณะของอากาศจึงต้องผลิตครีมที่ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น
และมีการพัฒนาวิธีใหม่ขึ้นมาเรียกว่าเป็นการเติมน้ำหล่อเลี้ยงผิวให้ผิวอิ่มน้ำ หนาฟู ดูสดใสขึ้น
หลักการของน้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ
จริงแล้วตัวหลักๆ คือสารที่ชื่อว่า เอชเอ หรือสารไฮยาลูโรนิกแอซิด
(Hyaluronic Acid : HA) มีหน้าที่ในการอุ้มน้ำรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง
ร่างกายสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ และสลายหมดไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นถ้าอากาศแห้งปริมาณเอชเอจะลดลงหรือในผู้ที่มีอายุมากขึ้นร่างกายจะ
สร้างได้น้อยลงทำให้ปริมาณเอชเอในผิวลดลง ซึ่งปริมาณเอชเอในผิวของเรามี
สูงสุดในช่วงวัยเด็กจึงสังเกตว่าเด็กๆ ผิวหน้าจะตึงและใส
เมื่อสารเอชเอเป็นตัวกักเก็บน้ำให้ผิวในท้องตลาดจึงมีเครื่องสำอางหลายยี่ห้อ
ผลิตขึ้นมาเพื่อทาผิวให้ความชุ่มชื้น เรียกว่ากลุ่มมอยส์เจอร์ไรเซอร์
แต่การทาครีมนั้นซึมซับลงผิวได้น้อยในทางการแพทย์ต้องการอะไรที่เห็นผล
ชัดเจนจึงเปลี่ยนวิธีมาใช้เป็นการฉีดเติมลงไปที่ผิว(ชั้นบน)
ทำให้มีการกักเก็บน้ำที่ผิวหน้าจึงเนียนใส และฟูขึ้น นอกจากนี้ตัวเอชเอยังมี
คุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือสามารถกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ได้
แปลว่าคนที่มีริ้วรอยเยอะๆเมื่อฉีดเอชเอเข้าไปที่ผิวชั้นบนนอกจากหน้าจะตึงฟูอิ่ม
น้ำและชุ่มชื้นขึ้นแล้วถึงแม้ว่าจะสลายหมดไปเร็วก็ตามแต่ปรากฎว่าผิวหน้ายังดี
อยู่ เพราะผิวเราได้รับการกระตุ้นในการสร้างคอลาเจนขึ้นมาใหม่จึงถือเป็นข้อดี
การใช้เข็มฉีดสารเอชเอบนผิวหน้าอย่างนี้ถ้ามองอีกมุมก็คือการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปที่ผิวหน้า
ซึ่งเป็นเอชเอเหมือนกันแต่ใช้เทคนิคการฉีดคนละแบบกัน
ดังนั้นปัจจุบันมี HA ทั้งหมด 3 แบบ คือ
1. HA สำหรับใส่ในเครื่องสำอาง
2. HAสำหรับเติมผิวชั้นบน
3. HA สำหรับฉีดเป็นฟิลเลอร์ลงไปลึกๆ ใต้ผิวหรือชั้นกระดูก
ทั้งหมดจึงมีความแตกต่างกันตรงโครงสร้างโมเลกุล ซึ่งจริงๆ แล้ว
การฉีดเอชเอฟิลเลอร์มีความปลอดภัยที่สุด
ได้ผลดีที่สุดและเป็นธรรมชาติที่สุด
แต่ต้องฉีดให้ถูกต้องโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายที่สุด
พอได้ข้อมูลเกี่ยวกับ Air Shine แล้วทำให้ส้มสนใจมากๆ
อยากลองทำดูซักครั้งว่าจะเป็นอย่างไร
จนกระทั่งพอคลีนิค Korean Touch By Ultra V Clinic ได้เปิดให้บริการ
อยู่ที่ Mercury Ville ชั้น 4 (ตรงข้ามเซ็นทรัลชิดลม)
ทางคลีนิคจึงเชิญให้ส้มได้เข้ารับบริการดูค่ะ คลีนิคที่นี่ตกแต่งให้ดูทันสมัย
และออกแบบมาให้เหมือนสไตล์คลีนิคที่เกาหลีค่ะ
พอไปถึง มีขนมมาให้ทานก่อนจะเจ็บตัวด้วย ฮ่าๆๆๆ
ในครั้งนี้ คุณหมอบี จะเป็นผู้ที่ทำให้ส้มค่ะ ซึ่งส้มเคยรักษาผิวหน้า
กับคุณหมอบีแล้วที่คลีนิค AIC ตอนที่ทำ Stamping รักษาหลุมสิว
มั่นใจในตัวคุณหมอ เพราะมือเบามากๆค่ะ และประกอบกับ
ส้มได้ศึกษาข้อมูล และ ได้เห็นขั้นตอนการทำก่อนหน้านี้แล้ว
จึงได้ตัดสินใจทำ Air Shine ในครั้งนี้ค่ะ
ขั้นตอนของการทำ Air Shine
1. เริ่มจากการทำความผิวหน้าด้วยการล้างเครื่องสำอางค์ออกก่อน
เพื่อเตรียมผิวก่อนการทำทรีทเม้นท์ ผิวหน้าจะต้องสะอาด เป็นสิ่งสำคัญมาก
2. มาสก์ยาชาให้ทั่วหน้า แล้วทิ้งไว้ 40 นาที
(ยาชาของทีนี่นำเข้าจากเกาหลี ชาถึงลิ้นเลยค่ะ)
3. พอทายาชาทิ้งไว้ 40 นาทีแล้ว ผู้ช่วยจะทำการนวดยาชาอีกครั้ง
เพื่อให้ยาชาทำงานได้ดียิ่งขึ้น แล้วก็ทำการเช็ดยาชาออกค่ะ
เนื่องจากการทำ Air Shine คุณหมอก็บอกแล้วว่าถ้าทายาชา อาจจะยังไม่พอ
เพราะมันจะเจ็บ เนื่องจากมีการทำ Air Dissector ด้วย
(เหมือนที่ส้มรักษาหลุมสิว) แล้วก็จะต้องฉีดสาร HA มันจะเจ็บ
คุณหมอเลยต้องเตรียมอุปกรณ์ เพื่อฉีดยาชาให้ส้มค่ะ
คนกลัวเข็ม เห็นเข็มเยอะๆแบบนี้อาจจะเป็นลมได้ ฮ่าๆๆ
จะเห็นว่า มีเข็มในซองฟ้าๆ นั้นจะเป็น “เข็มฉีดยาชา”
ส่วนเข็มที่ปลอกสีส้ม นั้นจะเป็น “เข็มฉีด HA บริเวณหน้าผาก รอบตา”
ส่วนเข็มอันใหญ่สีดำๆมีหน้าจอนั้นจะเป็น “เข็มฉีด HA บริเวณทั่วไปของใบหน้า”
4. และมาถึงขั้นตอนที่ “เจ็บที่สุด” ของการทำ Air Shine
นั่นก็คือ การฉีดยาชา นั่นเอง เจ็บจี๊ด สุดๆละค่ะ
คุณหมอจะแบ่งฉีดยาชาทีละ ครึ่งหน้า
โดยครั้งนี้จะเริ่มทำหน้าซีกซ้ายก่อน ก็จะฉีดยาชาทั่วผิวหน้าด้านซ้าย
เพราะถ้าหากฉีดยาชาทั่วหน้าไปก่อน แล้วขั้นตอนการทำกว่าจะเสร็จ
ผิวหน้าอีกด้านที่ฉีดยาชาไปแล้ว อาจจะค่อยๆหมดฤทธิ
เลยค่อยๆฉีดยาชาแบ่งทีละครึ่งหน้าจะดีกว่า
พอฉีดยาชาเสร็จแล้ว ก็ฆ่าเชื้ออีกครั้งด้วยเบตาดีน เช็ดให้ทั่วค่ะ
5. ใช้เครื่อง Air Dissector โดยทำการแยกชั้นผิวก่อนด้วยแรงดันอากาศ
วิธีทำคืออัดอากาศความเร็วสูงเข้าที่ผิวชั้นบน ทำให้ผิวเกิดการแยกชั้น
ซึ่งคุณหมอบี ได้ย้ำบริเวณ ที่ส้มมีปัญหาหลุมสิวอยู่
เพราะจะได้ช่วยทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นด้วย
การใช้เข็มฉีดลงบนผิวชั้นตื้นไม่เป็นอันตราย
เนื่องจากไม่มีเส้นเลือดการทำแบบนี้ถือเป็นการกระตุ้นผิวอย่างหนึ่ง
(ส้มเคยรักษาด้วยวิธีนี้แล้วเป็นการทำ Air Dissector + Skin Stamping
อ่านรีวิวได้ “ที่นี่” )
ขั้นตอนนี้ จะสังเกตว่า ผิวจะบวมๆขึ้นมาเป็นเหมือนตุ่มยุงกัด
แน่นอนค่ะ เลือดอาจจะออกบ้าง ตามจุดที่เข็มจิ้มเข้าไป
ไม่เจ็บค่ะ เพราะผิวหน้ายังชาอยู่ ไม่ค่อยรู้สึก
6. พอทำ Air Dissector หรืออัดอากาศเข้าผิวทั่วบริเวณทีต้องการแล้ว
หลังจากนั้นจึงใช้เข็มขนาดเล็กบรรจุเอชเอฉีดลงไปที่ผิวหน้าจุดที่ต้องการ
ลดริ้วรอยหรือต้องการให้ผิวสวยใสฉ่ำน้ำ เทคนิคนี้จะช่วยให้สารเอชเอกระจาย
ตามผิวได้ดี
7. ต่อจากนั้นใช้เครื่อง Cryo Therapy
เป็นเครื่องทำความเย็นพิเศษ ที่ให้ความเย็นถึงติดลบ 15 องศาเซลเซียส
เพื่อผลักสารบำรุงเข้าสู่ผิวและช่วยลดอาการบวมแดง
ทำให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 20นาทีค่ะ
8. และขั้นตอนสุดท้าย คือการใช้แสง LED บำบัด
เป็นมาสก์หน้ากาก LED โดยแสงไฟนี้จะช่วยลดอาการบวมแดง
และทำให้การหมุนเวียนโลหิตใต้ผิวหนังทำงานได้ดียิ่งขึ้น
ตอนมาสก์หน้า ขนาดปิดตา มีสำลีแปะตาหลายชั้นมาก
เราก็ยังเห็นว่าไฟจ้ามากๆ แต่แสงไฟนี้ไม่เป็นอันตรายต่อดวงตานะคะ
แค่รู้สึกรำคาญเล็กน้อย ฮ่าๆๆๆ
มาสก์ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15 นาทีค่ะ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
เพื่อให้เห็นขั้นตอนการทำที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น
ส้มได้ถ่ายวีดีโอเอาไว้ให้ดูแล้ว ยังไงลองดูวีดีโอตามลิงค์ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ
ผลหลังการทำ Air Shine ครบ 2 สัปดาห์
วันที่ 1 หลังทำ Air Shine ยังเห็นว่า มีเป็นตุ่มๆอยู่ แล้วก็ผิวหน้ายังแดง
และมีอาการบวมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะบอกว่า
มันขึ้นอยู่แต่ละสภาพผิว ผิวส้มบาง และจะบวมแดงง่ายมาก
บางคนอาจจะไม่เป็นขนาดนี้ค่ะ แต่ไม่เจ็บผิวหน้านะคะ ไม่รู้สึกอะไรเลย
แค่รู้ว่าหน้าบวมเท่านั้นเอง
วันที่ 2 ผิวเริ่มไม่ค่อยแดงแล้ว แต่ว่ายังมีบวมเป็นจุดๆที่ฉีดสาร HA
อยู่ทั่วใบหน้า และเป็นรอยเข็มค่ะ
วันที่ 3 รอยเข็มที่ฉีดสาร HA เห็นชัดขึ้น แต่รอยบวมตุ่มๆ เริ่มลดลง
แต่โดยรวมผิวหน้าก็ยังมีความบวมอยู่บ้าง แต่น้อยลงจากวันแรกค่ะ
วันที่ 4 ตุ่มที่เกิดจากการฉีดสาร HA หายไปเกือบหมด
แต่รอยเข็มฉีดยา เริ่มมีสีเข้มข้น ผิวหน้าโดยรวมก็ยังบวมอยู่บ้างค่ะ
ส้มเป็นคนผิวบวมง่ายมาก และจะหายช้ากว่าคนอื่น
วันที่ 5 เป็นช่วงที่เริ่มเห็นว่าผิวหน้าบวมน้อยลง และ รอยเข็มที่ฉีดสาร HA
ก็ค่อยๆลดลง และ จางลง แต่จะเห็นว่ามีรอยช้ำๆ เขียวๆ อยู่ 1 จุดที่ชัดขึ้น
วันที่ 6 รอยเข็มจางไปเยอะมากขึ้น ผิวเริ่มดูกระจ่างใสขึ้น
ผิวโดยรวมยังบวมอยู่เล็กน้อยค่ะ
วันที่ 7 ผิวเนียนเรียบเหมือนเดิมแล้ว รอยเข็มหายไปหมดแล้ว
ผิวหน้าเริ่มดูดีขึ้นค่ะ สังเกตว่า ผิวไม่ค่อยแห้งแล้วบริเวณโหนกแก้ม
แล้วผิวมันเริ่มมีความฉ่ำมากขึ้น สังเกตเวลาทาครีมเนี่ยมันซึมดีขึ้น
ไม่รู้ว่ามโนไปเองหรือเปล่า
เมื่อผ่านไปครบ 2 สัปดาห์ ส้มเลยเอารูปมาเปรียบเทียบให้เห็นชัดขึ้น
สิ่งที่ส้มสังเกตได้ชัดเจนมากๆคือ
“ผิวกระจ่างใสขึ้น ริ้วรอยเล็กๆดูจางลง ผิวเป็นเงาๆ อิ่มน้ำมากขึ้น
และผิวไม่ค่อยแห้งตรงบริเวณโหนกแก้ม แต่งหน้าก็เมคอัพติดทนมากขึ้น
เหมือนผิวมันมีความชุ่มชื้น ทำให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกระจายสู่ผิวหน้าดีกว่าเดิม”
การทำ Air Shine เหมาะกับใครบ้าง
Air Shine จะเหมาะกับคนที่ผิวแห้ง หรือ คนที่มีอายุมาก
ที่ผิวขาดความชุ่มชื้น และ มีริ้วรอย ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวและแก้ปัญหาริ้วรอย
สำหรับคนอายุน้อย ที่ผิวมัน สามารถทำได้เพราะว่าความมันบนใบหน้าจะเกิดจาก
ถูกกระตุ้นจากความแห้งซึ่งสังเกตได้ เช่น ล้างหน้าด้วยโฟมแรงๆ
เมื่อล้างเสร็จหน้าตึงมากแต่พอผ่านไปสักพักหน้าก็มันอีกและมากกว่าเดิม
เนื่องจากต่อมไขมันถูกกระตุ้นเพราะเส้นประสาทที่ผิวเรารับรู้ว่าผิวแห้ง
จึงต้องผลิตไขมันออกมาเคลือบผิวมากขึ้น
ดังนั้นคนที่มีผิวมันถ้าเติมสารเอชเอเข้าไปจะทำให้ผิวรับรู้ว่าหน้าเราชุ่มชื้นแล้ว
จึงผลิตไขมันออกมาน้อยลงถือเป็นข้อดีของคนผิวมันที่ทำให้หน้าเกิดความ
สมดุลขึ้น จึงได้ประโยชน์ทั้ง 2ผิวพรรณและเรื่องริ้วรอยเป็นเรื่องของประโยชน์ที่จะได้ตามมา
ควรทำ Air Shine บ่อยแค่ไหน
ถ้าทำครั้งที่ 1 แล้ว รอประมาณ 2-3 สัปดาห์แล้วค่อยไปทำครั้งที่ 2
ครั้งที่ 3 ควรจะเว้นไปประมาณ 1 เดือน
และเว้นไปอีก 3 เดือน ค่อยๆ ห่างออกไป
และจากนั้นถ้ารู้สึกว่าหน้าตัวเองโทรมเพราะไปทำกิจกรรมกลางแจ้งมาก
ผิวเสื่อมเร็วก็กลับมาทำได้ตามต้องการไม่มีข้อเสีย
ถือเป็นการเติมน้ำหล่อเลี้ยงผิวด้วยวิธีใหม่
การทำบ่อยๆ ติดต่อกันไม่มีผลเสียและไม่มีผลข้างเคียง
แต่กลับมีข้อดีโดยเฉพาะคนที่มีริ้วรอยมากไม่ต้องพึ่งโบท็อกตลอด
ถ้าใช้วิธีการเติมน้ำให้ผิวนี้แล้วผิวหน้าจะค่อยๆ ตึงขึ้น ริ้วรอยต่างๆ
จะค่อยๆหายไปเหมือนฉีดโบท็อก แต่จะหายถาวรเพราะผิวหน้าเราฟูหนาขึ้นมาเอง
ดังนั้นจึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อให้ผิวหน้าเราสวยใสฉ่ำน้ำ
เหมือนสาวเกาหลีที่ไม่ใช่แค่สวยขึ้นอย่างเดียวแต่ทำให้ผิวหน้าเราปรับสมดุล
ทำให้มีสุขภาพผิวที่ดีอีกด้วย
คำแนะนำจากคุณหมอ
สุดท้ายแล้วการรักษาด้วยวิธีใดก็ตามที่ต้องมีการฉีดหรือใช้เข็มบนใบหน้า
ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและอยู่ในสถานพยาบาลเท่านั้น
เพราะบางครั้งมีบริการทำที่ห้องพักหรือคอนโดซึ่งจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อการรักษา
ที่สถานพยาบาลจะปลอดภัยเนื่องจากมีเรื่องของความสะอาด ปลอดเชื้อ
แสงสว่างที่พอเพียง องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ผลการรักษาออกมาดีกว่านั่นเอง
ราคาและสถานที่ให้บริการ
ราคาทำ Air Shine ครั้งละ 35,000 บาท
(หรืออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตามราคาแพคเกจ และ โปรโมชั่นของคลีนิค)
คลีนิคที่ส้มใช้บริการ ชื่อ Korean Touch By Ultra V Clinic
อยู่ที่ชั้น 4 Mercury Ville (ตรงข้ามเซ็นทรัลชิดลม)
สามารถนั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานีชิดลม แล้วออกทางที่จะไปเซ็นทรัลชิดลมได้เลย
ตรงเข้าทางเชื่อม Mercury Ville ขึ้นบันไดเลื่อนชั้น 4 ก็จะเจอค่ะ
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง Korean Touch By Ultra V Clinic
ที่เชิญส้มเข้ารับบริการในครั้งนี้ด้วยนะคะ
แล้วพบกันใหม่ในรีวิวครั้งหน้าค่ะ