เล่าเรื่องราว การไปปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์เอกชัย สิริญาโณ ที่บ้านพุฒมณฑา
เมื่อวันที่ 1-3 กรกฏาคม 2554 ที่ผ่านมา บอกตามตรงว่า
สองจิตสองใจมากว่าจะไปปฏิบัติธรรมดีมั้ย เพราะคิดเสมอว่ามันยากและเราคงทำไม่ได้
หลายคนชวนไปมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แต่ก็ไม่เคยได้ไป จนกระทั่งแม่โทรมาชวนเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ได้เห็นบ้านที่จะได้ไปพัก
บอกตามตรงว่าเห็นแค่รูปเดียวในเวปไซต์ http://www.baanpootmontha.com
ซึ่งเป็นบ้านของ คุณครูลิลลี่ กิจมาโนชญ์ โรจนทรัพย์ ที่ต้องการสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่
เพื่อการปฏิบัติธรรมของบรรดาพุทธศาสนิกชน
เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ให้กับสังคมและพร้อมกับสร้างบ้านพักผ่อนตากอากาศให้กับคุณพ่อพุฒ
โรจนทรัพย์ และคุณแม่มณฑา โรจนทรัพย์ ในพื้นที่เดียวกัน
เพื่อให้ได้มาใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข
แค่เพียงเท่านั้น ก็รู้สึกว่าอยากมาแล้ว เพราะปกติคนส่วนใหญ่จะชวนไปที่วัด
ซึ่งการนอนค้างที่วัด ทำให้ส้มเองก็คิดไปต่างๆนานา เพราะความกลัวผี เลยปฏิเสธ
แต่หากได้ไปพักที่บ้านลักษณะที่มีต้นไม้เยอะๆ สถานที่โอ่โถงดูน่าพักอาศัย
ได้ไปพักผ่อน แถมได้ไปกับแม่ด้วย เลยคิดว่าปลอดภัย และแม่ก็ยังบอกอีกว่า พระอาจารย์ที่จะมาสอนคือ
พระอาจารย์เอกชัย สิริญาโณ ที่มีหลายๆคนเลื่อมใสศรัทธา
และท่านเองก็มีวิธีการสอนปฏิบัติธรรมสำหรับคนรุ่นใหม่เพื่อให้เข้าใจง่ายอีกด้วย
เลยตัดสินใจลางานไป 3 วัน
ออกเดินทางพร้อมกับญาติอีก 3 คน ในวันที่ 1
กรกฏาคมที่ผ่านมา ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงปากช่อง
ซึ่งบ้านพุฒมณฑาจะอยู่ในเขตของ ภูริพิมานรีสอร์ท ขับรถไปฝนก็ตกปรอยๆตลอด
(สงสัยฟ้าฝนดีใจที่ส้มมาปฏิบัติธรรมได้เสียทีนะ)
ดูภาพเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.167054556676701.33587.167021273346696&type=3
พอมาถึงได้เห็นสถานที่ บอกได้คำเดียวว่า “สวยมาก” บรรยากาศล้อมรอบด้วยภูเขา อากาศเย็นสดชื่น
สูดเข้าไปเต็มปอดกันเลยทีเดียว หลังจากนั้นก็เอากระเป๋าไปเก็บพร้อมลงทะเบียนให้เรียบร้อย แล้วก็ขึ้นไปชั้นสองของบ้าน
ซึ่งจะเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ที่มีพระประธานอยู่หลังห้อง
รอบนี้มีคนมาปฏิบัติธรรมเกินที่จองเอาไว้
เพราะเป็นโครงการที่กำลังได้รับความสนใจจากเด็กรุ่นใหม่ จริงๆเค้าให้แค่ 50 คน
แต่รอบนี้มากันเกือบ 90 คน เยอะมากจริงๆค่ะ
พระอาจารย์เอกชัยก็ได้สอนธรรมะและการปฏิบัติธรรมให้เราเข้าใจอย่างง่ายๆ
สอนให้นั่งสมาธิ เดินจงกรม ตอนที่นั่งสมาธิวันแรกนั้น บอกได้คำเดียวว่า ทำไม่ได้เลย จิตฟุ้งซ่านมาก
ปล่อยวางไม่ได้ พระอาจารย์บอกว่า
การทำสมาธิที่ถูกต้อง คือ ห้ามไปบังคับให้จิตใจเราสงบนิ่ง หากหลับตาลงแล้ว
เราจะไปสั่งให้สมองไม่ให้คิด ให้ใจอยู่นิ่ง นั่นคือสิ่งที่ผิด
เพราะเรากำลังฝืนจิตใจตัวเองอยู่ ที่ถูกต้องคือ หลับตาลงแล้วนั่งมองดูตัวเองจากข้างใน ให้รู้ว่า
นี่คือลมหายใจเข้าออก ท้องเรากำลังกระเพื่อม รู้สึกถึงลมที่พัดมาโดนแขนเราเบาๆ แล้วทำใจให้สบาย
มองดูใจตัวเราเอง ทำตัวเองให้รู้สึกผ่อนคลาย ทิ้งน้ำหนักไว้ที่ก้นกับขา ในการทำแรกๆ แน่นอน ทำไม่ได้
เพราะว่าเราไม่เคยทำ และไม่เคยชิน แต่เชื่อมั้ยว่า พึ่งมารู้ว่า นั่งสมาธิแล้วจิตเรานิ่งสงบก็ตอนวันสุดท้ายที่จะกลับ
พระอาจารย์บอกว่า ถ้าเราทำสมาธิได้แล้ว
เราจะเห็นแสงสว่าง และวันนั้น วินาทีนั้น เป็นช่วงที่รู้สึกได้ว่า ร่างกายเราเบา
จิตเราสงบนิ่ง และเราก็เห็นเป็นแสงสว่างขึ้นมา จนตอนนี้นั่งพิมพ์อยู่ ยังจดจำความรู้สึกนั้นได้อยู่เลย มันสงบ มันเบา มันนิ่ง
มันมีความสุขลึกๆในใจอย่างบอกไม่ถูก พึ่งจะอ๋อ ก็ตอนนี้นี่เอง จริงๆแล้วการนั่งสมาธิ ไม่ได้ทำยากอย่างที่คิดเลย ที่มันยาก
เพราะเรานี่แหละที่คิดเยอะ พอคิดเยอะ
สมองก็ไม่ว่าง มองไม่ได้ผ่อนคลาย จิตใจก็ว้าวุ่น
อีกอย่างที่ได้ทำแล้วทำให้เรามีความสุขมากคือ การเดินจงกรม เป็นอีกอย่างที่ไม่เคยทำ
พระอาจารย์สอนเดินจงกรมตั้งแต่ให้นับการก้าวย่างของเท้าทั้งสองข้าง
“อยาก..เดิน..หนอ..” “ขวา…ย่าง…หนอ” “ซ้าย…ย่าง…หนอ” “หยุด…หนอ” “อยาก…กลับ..หนอ”
ทำครั้งแรกก็รู้สึกแปลกๆ
ว่าทำไมต้องเดินแบบนี้ด้วย กว่าจะก้าวเดินได้ แทบจะล้ม เพราะช้ามาก
แต่พอได้ทำไปซักสองสามรอบ เริ่มเข้าใจว่า
การเดินจงกรมเป็นการฝึกให้เรารู้ตัวเองตลอดเวลา นั่นก็คือ การมีสตินั่นเอง ให้เรารู้สึกถึงเท้าที่เดินก้าวย่างออกไปและเหยียบถึงพื้น
เดินโดยใช้ใจ ให้สัมผัสทุกๆขณะในการก้าวย่าวของเท้า อานิสงส์ที่ได้คือ ให้เราใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีสติ
รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ถึงได้เข้าใจที่พระอาจารย์บอกว่า
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ เราเรียนรู้และอยู่กับมันตลอดเวลา แต่บางครั้งเรามองข้ามและไม่ได้นึกถึง
พระอาจารย์ยังได้สอนเรื่องการให้อภัย โดยเอาคลิปวีดีโอ หนูแหม่ม สิริวิภา ที่เคยเชิญมาเป็นวิทยากรบรรยายธรรมะมาให้ดู
โดยเค้าก็ได้พูดถึงตัวเค้าเองในตอนที่มีข่าวเกี่ยวกับรายการสมาคมชมดาวที่ต้องปิดตัวไปเพราะมีปัญหาส่วนตัวที่เกิดขึ้น
หลายๆคนคงทราบเรื่อง หนูแหม่มเองเค้าก็ได้ใช้ธรรมะรักษาจิตใจจนกระทั่งเข้าใจอะไรมากขึ้นกว่าแต่ก่อนที่เคยเป็นคนที่นิสัยไม่ดี
อารมณ์ร้าย เพราะถูกสปอยอีโก้มาตั้งแต่เข้าวงการ จนกระทั่งสามีได้เตือนสติเค้า หลังจากนั้นเค้าได้เริ่มเข้าปฏิบัติธรรม
และยังได้บอกอีกว่า หากมีโอกาสคงจะได้เชิญ แหม่ม แคทรียา มาออกรายการสุริวิภาอีกด้วย
ซึ่งเราเองก็เป็นคนนึงที่อยากจะคอยดูต่อไป
และนับว่าเป็นโชคดีที่ พระอาจารย์มหาสมปอง
ได้แวะมาหลังจากที่ได้ไปสอนธรรมะจากที่อื่น ระยะเวลา 2 ชั่วโมงเป็นชั่วโมงที่เต็มอิ่ม
เต็มอรรถรส ความฮามากมาย
และหลังจากความฮาความซาบซึ้งกินใจก็ตามมา เพราะท่านจะให้คนที่มากับแม่ได้กราบเท้าแม่
ขอขมาขออโหสิกรรม ส้มเองก็ได้ทำแล้วน้ำตาไหลพรากๆ ไหลเพราะความสุขที่ได้ทำดีกับแม่
ที่ได้เกิดเป็นลูกแม่ และกราบขอขมาขออโหสิกรรมสิ่งที่เราเคยทำให้แม่เสียใจที่ผ่านมา แปลกดีนะ ส้มก็เคยกราบขอขมาแล้วกับแม่
แต่ครั้งนี้ พอแม่บอกว่า “แม่อโหสิกรรมให้ลูกนะ” ความรู้สึกตอนนั้น มัน รู้สึกโล่งมาก
เหมือนไม่มีอะไรติดพันกันแล้ว อารมณ์ประมาณหลุดจากบ่วงกรรมยังไงยังงั้นเลยทีเดียว ดีใจมีความสุขกับช่วงเวลานั้นมากๆ
และไม่เพียงเท่านั้น คืนนั้นพระอาจารย์เอกชัยก็ได้เปิดเพลงค่าน้ำนม
เปิดวีดีโอการคลอดลูกเพื่อให้เห็นสายรกที่ขนาดมีดหมอที่ว่าคมยังตัดแทบไม่ขาด
นี่ก็เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงสายใยความรักที่แม่มีต่อลูกได้เป็นอย่างดี
แต่ส้มก็ไม่ค่อยกล้าดู เพราะภาพมันน่ากลัวมาก เห็นเลือดแล้วจะเป็นลม และพอดูเสร็จก็ได้กราบขอขมาแม่อีกครั้ง
พร้อมทั้งพระอาจารย์ก็ได้ให้กล่าวคำขอขมากับแม่อีกครั้ง ซึ่งบอกตามตรงนะ
คนที่เป็นลูกทุกคน ไม่มีใครไม่เคยทำให้พ่อแม่เสียใจ ทุกคนเคยทำผิดหมด แต่หากวันนี้เรารู้สึกตัวว่าเราทำไม่ดีที่ผ่านมา
หรือ ในขณะนี้ รีบเข้าไปกราบขอขมาขออโหสิกรรมท่านเสียแต่วันนี้ ดีกว่าไปขอขมาหน้าโลงศพ
เพราะตอนนั้นมันอาจจะสายเกินไปแล้ว
มีหลายๆคลิปวีดีโอที่สอนและให้ข้อคิดเรื่องธรรมะมากมาย โดยเฉพาะเรื่องราวของน้องกันและน้องกี้
เด็กสองคนที่เกิดมาพร้อมโรคพันธุกรรมบกพร่อง คิดว่าหลายๆคนก็น่าจะรู้จัก จากเรื่องราวตรงนี้ได้สอนให้ส้มรู้ว่า
ความตายเป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัว หากเราอยู่กับตนเองอย่างมีสติ ทุกๆย่างก้าวในแต่ละวัน เรารู้ตัวอยู่ตลอดเวลา
เข้าใจธรรมชาติของชีวิต ว่าจะต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องธรรมดา ที่วันนึงเราก็จะได้เจอ ในคลิปนี้ น้องกัน ในวันสุดท้ายของเค้า
เค้าจากไปด้วยรอยยิ้ม ตายอย่างไปสู่สุขคติ ไม่ใช่ทุกขติ ตายพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งส้มไม่เคยคิดถึงความตายเลย และรับไม่ได้
หากคนที่เรารัก จะต้องจากไปในวันนึง แต่พอเห็นน้องกัน เด็กอายุแค่ 18 แต่มีความคิดที่ดี ใช้ชีวิตในร่างกายที่เค้าบอกว่า
หากชาติหน้ามีจริง เค้าขอเลือกเกิดในร่างกายที่ไม่มีโรค เพราะร่างกายนี้มีแต่ความเจ็บปวด และเค้านอนนับวันรอวันตายให้มาถึง
เพราะเค้าจะได้หลุดพ้นจากร่างกายที่เป็นทุกข์แบบนี้
มันทำให้เรากลับมาย้อนดูตัวเองว่า วันนี้เราเกิดมาอยู่ในร่างนี้
ถือว่าเราโชคดีกว่าหลายๆคน ที่เค้าเกิดมาพร้อมกับโรคภัยไข้เจ็บ โรคที่รักษาไม่ได้ หรือพิการไม่ครบ 32
แล้วหากเรามีพร้อมกว่าคนอื่นเค้า แล้วตอนนี้เราทำอะไรให้คนอื่นบ้างหรือเปล่า ทำประโยชน์ให้กับสังคมบ้างหรือเปล่า
ตัวอย่างของน้องกันคือ เค้าตั้งใจตั้งมูลนิธิขึ้นมาเพื่อมารักษาคนที่เป็นโรคเดียวแบบกับเค้า และวันนั้นที่มูลนิธิได้ก่อตั้งขึ้น
น้องกันก็จากโลกนี้ไปอย่างสุขสงบ วีดีโอน้องกัน ก็เป็นอีกอันนึงที่ทำให้ทุกคนร้องไห้
เพราะรู้สึกว่า เด็กคนนี้เข้าใจธรรมะได้อย่างลึกซึ้ง เข้าใจและปฏิบัติตลอดเวลาแม้ร่างกายจะไม่อำนวย
แต่จิตใจของเค้าเข้มแข็งและไม่ป่วยแบบร่างกายเค้าเลย เราเองเป็นชาวพุทธ แต่เรายังไม่เข้าใจเท่ากับเด็กคนนี้เลย
ดูแล้วได้ย้อนนึกถึงตัวเองเยอะมากขึ้น คิดถึงคนอื่นมากขึ้น อยากจะทำอะไรให้สังคมมากขึ้น
เกิดมาทั้งทีก็อยากจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์เพื่อให้สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์คนนึง ได้มีลมหายใจอยู่จนถึงวันนี้