Review : HERA Finishing Touch SPF 25 / PA++ แป้งฝุ่นอัดแข็งเนื้อโปร่งแสง ปกปิดรูขุมขนให้หน้าเนียน

June 16, 2014

 

 ถ้าใครติดตามส้มใน Facebook อยู่ จะรู้ว่าส้มเป็นติ่งแบรนด์เครื่องสำอางค์ Hera เอามากๆ
ติดใจตั้งแต่เริ่มใช้ Hera UV Mist Cushion แล้ว มันดีจริงๆ
 
พอล่าสุดเค้าออกแป้งอันใหม่ ทางร้านพรีออเดอร์เกาหลี เค้าก็เห็นว่าส้มชื่นชอบ
 
เค้าเลยส่งมาให้ได้ลอง อันนี้ก็ต้องขอบคุณทางพี่เค้าด้วยจริงๆ
HERA Finishing Touch SPF 25 / PA++ 

คำเคลมจากทางแบรนด์

(พอดีหาจากเวปแล้วมันเป็นภาษาเกาหลี เลยถ่ายจากคู่มือที่มาพร้อมกล่อง
เดี๋ยวนี้เค้าทำภาษาอังกฤษแล้ว ดีใจมากๆๆ)

ลักษณะของผลิตภัณฑ์

 
อันนี้จะเป็นตัวกล่อง packaging นะคะ Hera ส่วนใหญ่จะเน้นความเรียบหรู
เวลาส้มเห็นกล่องแบรนด์นี้ จะทำให้นึกถึง Dior ยังไงยังงั้นเลย
ส่วนเบอร์ ตรงกล่องจะเขียนว่า 01  Skin Beige 
เท่าที่รู้มา เค้าทำออกมาสีเดียวนะคะ
 
 

 
ด้านหลังกล่องก็จะมีรายละเอียดภาษาเกาหลี
แต่ที่อ่านออกก็คือ ราคา 45,000 วอน  ขนาด 7 กรัม
และสัญลักษณ์ Period after opening (PAO) ที่เป็นรูปฝาเปิด
แล้วมีตัวเลข 24 M นั่นแปลว่า แป้งตัวนี้ หากเปิดใช้งานแล้ว
จะสามารถมีอายุการใช้งานนานถึง 24 เดือน หรือ 2 ปี หลังจากเปิดใช้ค่ะ
 

 
หน้าตาตัวแป้งค่ะ ตลับสีดำเงาเรียบๆ 
 

 
ด้านหลังค่ะ ก็จะมีตัวหนังสือสีแดงๆเพิ่มมา จะเป็นวันที่ระบุวันเดือนปีที่ผลิตค่ะ
 

 
เมื่อเปิดฝาออกมา นี่คือภายในตลับแป้งค่ะ 
สิ่งแรกที่สะดุดตาส้มมากๆ ก็คือ พัฟฟ์ หน้าตาไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่
 
 

 
เห็นหน้าตาแปลกๆ ก็เลยเอาแผ่นคู่มือที่มาในกล่อง เปิดอ่านดู
 
เค้าบอกว่า พัฟฟ์ตัวนี้เนี่ย เค้าเรียกว่า “Soft Aircell Brush”
 
มันจะมีความแตกต่างจากพัฟฟ์ฟองน้ำปกติทั่วไปตรงที่ 
 
มันจะทำให้แป้งเกลี่ยกระจายทั่วใบหน้าให้เนียนเรียบ
 
และบางเบามากยิ่งขึ้น ไม่ทำให้แป้งจับตัวกันเป็นก้อน
 
เพราะเค้าคิดค้นมาแล้วว่า เมคอัพบนใบหน้าจะออกมาอย่างไร
 
ก็ขึ้นอยู่กับการลงแป้งเป็นสำคัญ
 
ดังนั้นเค้าจึงได้ผลิตพัฟฟ์ฟองน้ำรุ่นพิเศษนี้ขึ้นมา
 
ให้สาวๆได้ทาแป้งได้เนียนราวกับเป็น Makeup Artist 
 
 

 
นี่คือตัวเนื้อแป้งนะคะ  ลักษณะจะเป็นเนื้อแป้งฝุ่นที่อัดแข็ง
 
แป้งจะเป็นแบบโปร่งแสงค่ะ ดังนั้นใช้ได้กับทุกเฉดสีผิว
 
ทาแล้วมันจะค่อยๆกลืนกับสีผิวของเรา
 
เนื้อแป้งค่อนข้างบางเบามากๆ เนื้อเนียนละเอียดดีเลยทีเดียว
 
 

 

วิธีการใช้

 
หลังจากที่เราลงรองพื้น หรือ BB, CC cream เรียบร้อยแล้ว
รอให้เซตตัวจนแห้ง เอาหลังมือแตะๆดูแล้วไม่เหนอะ ก็ค่อยลงแป้งตามได้
 
วิธีการใช้แป้งรุ่นนี้ เราจะใช้พัฟฟ์ Soft Aircell Brush นี้ จุ่มแป้งขึ้นมานิดหน่อย
ไม่ต้องจุ่มเยอะนะคะ โดยเราจะเน้นทาบริเวณที่ผิวกระทบแสงแดดเต็มๆ
นั่นก็คือบริเวณ หน้าผาก จมูก โหนกแก้ม คางหรือจะทาทั่วใบหน้าก็ได้ค่ะ
 
ที่เค้าระบุว่าให้ทาเฉพาะบริเวณของใบหน้าที่โดนแสงแดดกระทบ 
ก็เป็นเพราะว่า บริเวณนี้ มักจะเป็นบริเวณที่ผิวจะมีรูขุมขนที่กว้าง
และมีความมันอยู่ใต้ชั้นผิว หรือที่เราเรียกว่า บริเวณ T-Zone นั่นเอง
 
แป้งตัวนี้จะเข้าไปช่วยอำพรางให้รูขุมขนเล็กลง 
ละช่วยควบคุมความมันบริเวณ T-Zone 
ทำให้ผิวหน้าดูเนียนเรียบ ประหนึ่งว่าใช้ App Camera 360 องศา
 
ทาออกมาแล้ว สังเกตจากรูปข้างล่าง ผิวจะแลดูเนียนเรียบขึ้น
ดู Glow ดูกระจ่างใส ปกปิดรูขุมขนได้อย่างเรียบเนียน
 
**จริงๆแป้งรุ่นนี้นั้น เค้าให้เอาไว้สำหรับ Touch Up ในขั้นตอนสุดท้าย
หลังจากที่เราลงรองพื้น และ แป้งฝุ่นตามปกติเสร็จแล้วนั่นเอง
เค้าถึงตั้งชื่อว่า “Finishing Touch” 
 

 

ความรู้สึกหลังใช้

 
ส้มได้ลองใช้มาหลายสัปดาห์  ส่วนตัวส้มชอบมาก
 
เพราะว่าส้มเป็นคนผิวผสม ผิวจะมันบริเวณ T-Zone 
 
เวลาทาส้มก็จะทาตามที่ Guideline เค้าได้บอกเอาไว้
 
ก็คือ เน้นหน้าผาก จมูก คาง 
 
มันจะช่วยทำให้รูขุมขนดูเล็กลงทันทีหลังทา
 
แล้วก็เนื้อแป้งโปร่งแสง มันจะบางเบามากๆ 
 
ทาแล้วหน้าไม่วอก เพราะมันจะค่อยๆกลืนไปกับสีผิว
 
แต่ถ้าผิวคล้ำหรือเข้มมากๆ ส้มว่า มันอาจจะยังขาวไป
 
ถึงแม้มันจะโปร่งแสงก็จริง แต่มันก็ยังมีความขาวของแป้งนิดหน่อย
 
อาจจะทาได้แต่ก็ต้องแต้มเฉพาะจุด เพื่อสร้างมิติให้ใบหน้า
 
 
ทาทั้งวัน ส้มว่ามันติดทนได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวค่ะ
 
เช้าจรดเย็น หน้าก็ยังเนียนเด้งอยู่เลย ปลื้มมาก
 
 
และที่ชอบอีกจุดนึงก็คือ “คุมมัน” ได้ค่อนข้างดีค่ะ ไม่เป็นคราบระหว่างวัน
 
แต่ข้อควรระวังนิดนึง เวลาเราใช้พัฟฟ์ที่มาในตลับแป้ง
 
อย่าจุ่มแป้งขึ้นมาเยอะ และ ก่อนจะลงแป้งนี้ อย่าลืมว่า
 
ต้องให้รองพื้น หรือ บีบีครีม นั้นเซตตัวให้แห้งก่อน
 
ไม่งั้นแล้ว ต่อให้ใช้แป้งตัวนี้ ลงตอนผิวเหนอะๆอยู่ยังไงก็เป็นคราบ
 
และจะดูไม่เนียนสม่ำเสมอค่ะ 
 

ราคาและสถานที่จัดจำหน่าย

 
ถ้าซื้อที่เกาหลี ราคา 45,000 วอนนะคะ
 
พอดีทางร้าน PIP Korean Cosmetics ได้ส่งมาให้ส้มใช้ค่ะ
 
พี่เค้าขายอยู่ที่ตลับละ  1,395 บาท (ฟรี EMS) 
 
 
สุดท้ายนี้ ก็ต้องขอบคุณพี่ลิน จากร้าน PIP Korean Cosmetics
 
https://www.facebook.com/Kory.pipo.hiso  ที่ส่งมาให้ใช้ด้วยค่ะ
 
 
แล้วพบกันใหม่ในรีวิวครั้งหน้านะคะ
 

Sponsored By: PIP Korean Cosmetics
 

 

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Prev Post Next Post