Review : ทำหน้าใสใน 7 วันด้วย Skin Stamping + Cryo Therapy ใหม่ล่าสุดจากเกาหลี ที่เดียวในเมืองไทย!!

January 29, 2014

 

เมื่อวันเสาร์ที่ 25สิงหาคมที่ผ่านมาได้รับเชิญไป Workshop ที่

ศูนย์นวัตกรรมความงามกรุงเทพ (Bangkok Premier Clinic – A.I.C.) พระราม 4

กับนายแพทย์ พุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ

ซึ่งเป็นยแพทย์มือหนึ่งของวง​การร้อย​ไหมและแพทย์ต้นแบบ

การร้อยไหมUltra V Lift คนแรกของเมืองไทย

งานเริ่มตั้งแต่บ่าย 2 …เลิกตอนประมาณ 3 ทุ่มค่ะ

คุณหมอเองก็ได้เริ่มจากการแนะนำตัวเองพร้อมทั้งแนะนำนวัตกรรม

เทคโนโลยีใหม่จากเกาหลี รวมไปถึงเทรนด์ในปีนี้และปีหน้า

ว่าจะมีเทคโนโลยีในการรักษาผิวหนาอย่างไรบ้าง

ซึ่งคุณหมอได้พูดถึง 3 หัวข้อใหญ่ๆด้วยกันนั่นก็คือ

1. Minimal invasive surgeryกับ Trend ความงามแห่งอนาคต

2. นวัตกรรมใหม่ของปี 2012-2013

      3. ไขข้อข้องใจกับการร้อยไหมยกกระชับ

 

มาเริ่มที่หัวข้อแรกกันเลยนะคะ

1. Minimal invasive surgeryกับ Trend ความงามแห่งอนาคต


Smiley ได้ผลชัดเจนไม่แพ้การผ่าตัด

Smiley ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด

Smileyไม่มีผลข้างเคียงระยะยาว

Smiley ให้ความสวยงามเป็นธรรมชาติกว่า

Smiley แพงกว่า

ซึ่งเทรนด์ในการดูแลผิวหน้ารวมไปถึงการปรับรูปหน้านั้น

นวัตกรรมใหม่ๆจะมีอยู่4 อย่างด้วยกัน

 

SmileyIntradermalAir Dissector

Smiley Future solution for Skin Rejuvenation

Smiley Pang Pang

Smiley New generation of IPL

 

แต่เนื่องจากบางตัวนั้นยังเป็นPrototype อยู่ คาดว่าจะเริ่มมีในปีหน้า

วันนี้ก็จะขอพูดถึงสิ่งที่มีแล้วก็ละกันนะคะ

ซึ่งนวัตกรรมใหม่ที่คุณหมอนำเสนอก็คือ

 

Smiley Intradermal Air Dissector Smiley


เทคโนโลยีการแยกชั้นผิวและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ตามธรรมชาติ

ทั้งในแนวระนาบและแนวตั้งทำให้ผิวหน้าฟู ตึงกระชับ

 ชั้นผิวหนาและแข็งแรงขึ้น อายุผิวหน้าอ่อนเยาว์ลง 

โดยใช้เทคโนโลยีแรงดันอากาศสูง ก่อนผลักวิตามิน สเต็มเซลล์ 

และสารบำรุงผิวเข้มข้นสูงสูตรเฉพาะของคุณหมอเอง

วิธีการนี้ตอนแรกอยากจะทำ แต่ก็แอบกลัว แต่พอได้เห็นพี่น้ำตาล Bemynails ทำแล้ว

มันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะรู้สึกว่าทำแล้วมันเห็นผลมากกว่า

อย่างตัวส้มเองมีหลุมสิวเพราะเมื่อก่อนเป็นสิวเยอะมาก

เคยไปทำเลเซอร์ FineScan ก็ดีขึ้น แต่ไม่มาก 

หลุมสิวก็ยังคงอยู่ แถมทำแล้วทำให้หน้าดูคล้ำลง

 

แต่เนื่องจากวันที่ส้มไป Workshop  ส้มยังมีสิวที่ขึ้นอยู่ตรงคาง 
 
ซึ่งเป็นสิวฮอร์โมนที่ขึ้นอยู่ปกติก่อนมีประจำเดือน 
 คุณหมอก็เลยให้ส้มทำ Derma Stampingค่ะ
 

 

ซึ่งวิธีการนี้ ก็คือการนำตัว Stamp 
ที่มีเข็มเล็กๆเรียงกันเป็นแถวมากดให้ทั่วใบหน้า

 

เพื่อเป็นการเปิดผิวเพื่อที่จะได้รับวิตามินเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ให้เกิดผิวใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ

 และไม่เป็นการทำร้ายผิวเหมือนพวกเลเซอร์หากเราทำเลเซอร์บ่อยๆ

 ผิวหน้าเราก็จะได้รับรังสีเข้ามากซึ่งมันก็

อาจจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงในอนาคตได้ค่ะ

ดังนั้นเทรนด์ในปีนี้และปีหน้าจึงจะเป็

นวัตกรรมที่ไม่ทำให้ใบหน้าถูกทำลายมากที่สุดจึงเรียกว่า

Minimal invasive surgery นั่นเอง

มาดูหน้าตาของอุปกรณ์ในการทำDerma Stamping กันก่อนเลยนะคะ

จริงๆก็ถ้าดูผ่านๆมันก็ไม่มีอะไร เหมือนอุปกรณ์stamp ทั่วๆไป

ต่างกันตรงที่มันมีเข็มเล็กๆเรียงกันอยู่เนี่ยแหละค่ะ

แอบน่ากลัวนะ(นึกถึงแผ่นตะปูที่คนอินเดียเอามานั่งโชว์ ยังไงยังงั้นเลยค่ะ)


วิธีการทำ Derma stamping

เริ่มจากการทายาชาให้ทั่วใบหน้าแล้วทิ้งไว้ประมาณ15-20 นาที

(จะบอกว่า“ยาชาที่นี่เจ๋งมากๆค่ะ” ไม่ต้องทิ้งไว้นานเหมือนที่อื่นที่เคยไปทำ)


พอหน้าเราเริ่มชาแล้วก็จะทำการเช็ดยาชาออกให้หมด

 เช็ดหน้าด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้ออีกครั้งเพื่อเตรียมพร้อมผิวในการทำ

Skin stamping ในขั้นตอนต่อไป

 

จากนั้นคุณหมอก็จะเริ่มนำเอา Stamp มากดให้ทั่วใบหน้า

 เป็นการกระตุ้นผิวให้เกิดการบาดเจ็บเล็กน้อย

เซลล์ผิวหนังก็จะปล่อยสารกระตุ้นออกมาซ่อมแซมผิวตัวเองออกมา

ทำให้เกิดการซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว ในขั้นตอนนี้ ไม่รู้สึกเจ็บเลยค่ะ

รู้สึกแค่เหมือนมีอะไรมากดที่หน้าเบาๆ 

ความรู้สึกเหมือนเราเอาปลายเข็มมาจิ้มที่มือนิดเดียว

 เนื่องจากยาชาออกฤทธิดีมากก็เลยสบายๆค่ะ

ขั้นตอนนี้คุณหมอใช้เวลาประมาณ15 นาทีค่ะ

จากนั้นก็จะเป็นการเติมสารบำรุงที่มีส่วนผสมของ Growth Factor

และวิตามินลงบนผิวที่ผ่านการ Stamping แล้ว

 ซึ่งสารบำรุงนี้จะเป็นส่วนเพิ่มเติมมาจากสารกระตุ้นการซ่อมแซมตัวเอง

ที่ผิวของเราจะหลั่งออกมาจากเซลล์ตามธรรมชาติเมื่อเกิดการบาดเจ็บที่ผิวค่ะ

 

หลังจากนั้นคุณหมอก็จะใช้เครื่อง Cryo Therapy

เป็นเครื่องทำความเย็นพิเศษ ที่ให้ความเย็นถึงติดลบ 15 องศาเซลเซียส

เพื่อผลักสารบำรุงเข้าสู่ผิวและช่วยลดอาการบวมแดง

 ทำให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้นค่ะ ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีค่ะ

ส่วนวิธีการทำ Derma Stamping + Cryo Therapy

 ลองเข้าไปชมในวีดีโอนี้เลยนะคะ

Smiley ข้อดีของการทำ Derma Stamping Smiley

ที่ต่างจากเลเซอร์ตามที่คุณหมอให้คำอธิบายมาคือ

การทำเลเซอร์นั้นเป็นเพียงแค่การรักษาจากขั้นตอนที่ 1 เท่านั้น

 แต่ Derma Stamping จะช่วยแก้ปัญหาใน 3 ขั้นตอนคือ 

ทำให้ผิวเกิดการซ่อมแซมตัวเองกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่

และคอลลาเจนใต้ผิวได้ดีกว่าการทำเลเซอร์

แถมยังไม่ต้องพักฟื้นสามารถโดนแดดได้ ไม่ต้องกลัวว่าหน้าจะดำ

 หรือหน้าเป็นแผล เพราะเป็นวิธีการที่รักษา

โดยไม่ทำร้ายผิวหนังอย่างรุนแรงเหมือนการทำเลเซอร์

 และให้ผลการรักษาที่เห็นผลชัดเจนมากกว่า

พอทำเสร็จก็รีบถ่ายรูปเอาไว้ 


จะได้เห็นว่าหน้ามันแดงน้อยลงกว่าตอนที่เห็นในวีดีโอเยอะเลยค่ะ

และวันรุ่งขึ้นก็ถ่ายรูปมาให้ดูว่ารอยแดงได้หายไปแล้วค่ะ

ซึ่งดีมากๆเพราะเราไม่ต้องพักฟื้นอะไร

 เพียงแต่ต้องไม่แต่งหน้า 1 วันหลังทำ และล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเท่านั้นค่ะ

 

ความรู้สึกหลังการทำได้1 วัน

สังเกตผิวหน้าตัวเองหลังทำได้1 วันคือ

 “ผิวหน้าดูกระชับและตึงขึ้น” เพราะจะเป็นคนชอบกดผิว

 เอานิ้วจิ้มๆผิวหน้าแทบทุกวันเพื่อดูความยืดหยุ่นของผิว

 ปกติมันจะไม่เด้งกลับคืนมาในทันที (ตามอายุอานามอ่ะนะคะ 55)

ผลหลังการทำวันที่ 1 และวันที่ 3 


 

ผลหลังการทำในวันที่ 4 และวันที่ 7 


 

สรุปผลหลังการทำครบ 1 สัปดาห์

ข้อดีของการทำ Derma Stamping

“ผิวดูกระจ่างใสขึ้น และเนียนเรียบขึ้นโดยเฉพาะรอยหลุมสิว และพวก

รอยแดงรวมไปถึงจุดด่างดำบนผิวหน้าดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด”

ที่สำคัญผิวมีความยืดหยุ่นดีขึ้นมากๆค่ะ

 สัมผัสผิวได้รู้สึกได้เลยว่าผิวแข็งแรงขึ้นและดูตึงมากขึ้น

ข้อเสีย

ราคาค่อนข้างสูง ในการทำแต่ละครั้ง จะอยู่ที่ราคา 10,000 บาท/ครั้ง

ซึ่งก็นับว่าสูงกว่าการรักษาหน้าด้วยเลเซอร์ทั่วไป

(แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา  ในความคิดของส้มเองนะคะ 

ส้มว่าคุ้มกว่าการที่ส้มไปทำ Fine Scan / Frazel 6 ครั้ง ในราคาพอๆกัน)

สุดท้าย ก็ต้องขอขอบคุณนพ.พุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ

จาก AIC ศูนย์นวัตกรรมความงาม ที่เชิญให้ส้มได้เข้าร่วม Workshop ในครั้งนี้ค่ะ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ AIC ได้ที่เบอร์ 02-287-1200 ค่ะ

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Prev Post Next Post