Beauty Battle : 10 คู่ จาก Amore Pacific VS LG มาดูกันว่ามีแบรนด์อะไรแข่งกันบ้าง

November 5, 2015

ครั้งที่แล้ว ส้มได้เขียน Blog เกี่ยวกับเครื่องสำอางเกาหลี

ที่มาจากบริษัท Amore Pacific และ LG Household & Healthcare กันไปแล้ว

(ใครยังไม่ได้อ่านคลิก ที่นี่ เลยค่ะ)

vs

 

กระแสตอบรับดีมาก หลายๆคนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ ได้รู้จักแบรนด์เกาหลีเยอะขึ้น

 วันนี้ส้มก็เลยจะมาต่อเนื่องเป็นตอนที่ 2 โดยที่จะมาเขียนให้ได้อ่านกันต่อ เกี่ยวกับ 2 บริษัทนี้

ว่าเค้าทำเครื่องสำอางออกมาแข่งกันอย่างดุเดือดน่าดูเลยทีเดียว

อยากรู้มั้ยว่า มีแบรนด์เครื่องสำอางอะไรบ้างที่เค้าผลิตออกมาแข่งกัน

มาเริ่มจากแบรนด์ High End ของจากทั้ง 2 บริษัทนี้เลยละกันนะคะ

 

 

คู่ที่ 1  :  Sulwhasoo   VS   The History Of Whoo 

(แต่ถ้าเทียบในเรื่องราคาแล้ว จะต้องเป็นแบรนด์ที่ชื่อว่า Amore Pacific เทียบกับ The History Of Whoo)

แต่ที่ส้มจับมาเป็นคู่เทียบด้านล่าง คือดูจาก ส่วนผสม และ คอนเซปท์ของแบรนด์ค่ะ

11

ทั้ง 2 แบรนด์ ส้มเชื่อค่ะว่า หลายๆคนอาจจะสับสน เพราะมันคล้ายกันเหลือเกิน

 ไม่ว่าจะ Concept, Ingredient, Packaging ถ้านึกถึงแบรนด์เครื่องสำอางที่มีสมุนไพร

อย่าง โสมเกาหลี มาเป็นส่วนผสมแล้วล่ะก็ หลายๆคนก็จะต้องนึกถึง 2 แบรนด์นี้อย่างแน่นอน

 

Sulwhasoo (จากบริษัท Amore Pacific)

ทางฝ่าย R&D นั้นได้ศึกษาตำราทั้งเกาหลี จีน และ ญี่ปุ่น เพื่อที่จะค้นหาสมุนไพรธรรมชาติ

กว่า 500 ชนิดที่จะมีส่วนช่วยเรื่องผิวได้ดีที่สุด แล้วก็เลือกสมุนไพรที่ดีที่สุด

เพื่อนำมาผลิตเป็นแบรนด์ Sulwhasoo ออกมาในปี 1987 โดยใช้ชื่อว่า Sulwha

(คาดเดาว่า ชื่อนี้เอามาจากชื่อของ Founder ของ Amore Pacific เอง

ที่มีชื่อว่า Suh Seong-Hwan ค่ะ)

แต่พึ่งมาเปลี่ยนเป็น Sulwhasoo ในปี 1997 ค่ะ

Sulwhasoo ได้คัดสรรส่วนผสมที่ดีที่สุด 5 ชนิดที่เรียกว่า

Jaeumdan หมายถึง ส่วนปกป้องและช่วยเสริมพลังงานหยินให้กับผู้หญิง

เพื่อคืนความสดใสเปล่งปลั่งให้แก่ผิวได้อีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรคุณภาพสูง 30 ชนิด

รวมถึงการเลือกใช้โสมเป็นส่วนประกอบหลักที่ให้ผลลัพธ์เป็นเลิศในการลดริ้วรอยแห่งวัย

ซึ่งประกอบไปด้วย

1. รากโบตั๋นจีน ที่ช่วยลดโอกาสการอักเสบหรือระคายเคืองของผิว

2. บัวหลวงอินเดีย ช่วยฟื้นบำรุงผิวให้รู้สึกชุ่มชื้น เปล่งปลั่งอย่างสุขภาพดี

3.ว่านหางจระเข้  ทำให้ผิวรู้สึกกระชับยืดหยุ่น คงความชุ่มชื้นไม่แห้งกร้าน

4. ดอกลิลลี่ขาว ช่วยฟื้นสภาพ ให้ผิวแลดูกระจ่างใส

5.รากโกฐขี้แมว ช่วยดูแลปัญหาผิวหมองคล้ำ

The History Of Whoo (จากบริษัท LG)

แบรนด์นี้เปิดตัวเมื่อปี 2003 เพื่อออกมาทำตลาดแข่งกับ Sulwhasoo โดยเฉพาะเลยทีเดียว

เพราะในช่วงนั้น Sulwhasoo ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ครอง market share

ในกลุ่มเครื่องสำอางที่มีสมุนไพรเป็นหลัก  โดยชื่อ Whoo นี้ เป็นการแปลเชิงสมัยใหม่จากราชสำนัก

โดยมาจากตัวอักษรจีน  ซึ่งแปลว่า จักรพรรดินี หรือ พระราชินี นั่นเอง

โดยจะนำเอาความลับของความสวยความงามในพระราชวังที่สืบทอด

กันมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เก่าแก่จากจีนเลยทีเดียว

 

ดังนั้น ชื่อ The History Of Whoo จึงเป็นผสมผสานระหว่าง

ตำรายาของจีนโบราณ และ เทคโนโลยีของเกาหลีเข้าเอาไว้ด้วยกัน

อย่างของ Sulwhasoo จะมี  Jaeumdan แต่ของ Whoo เองก็จะเรียกว่า

 ‘Gong-Jin-Dan’  ซึ่ง

ประกอบไปด้วยพืชสมุนไพรหลากหลายชนิด ซึ่งเป็นสูตรบำรุงผิวเก่าแก่ที่มีประสิทธิภาพที่สุด

ที่ราชสำนักจีนโบราณได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อรักษาองค์จักรพรรดิและจักรพรรดินีโดยเฉพาะ

ซึ่งจะมีส่วนช่วยในเรื่องของการต้านอนุมูลอิสระ  ชะลอริ้วรอย

สารสื่อประสาท ลดความร่วงโรยของผิวและสารที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ผิว

 

 

 

 

คู่ที่ 2 :  HERA  VS  ISA KNOX  

 

22

 

HERA นั้นถือว่าเป็นแบรนด์ Make Up ระดับ High Endแบรนด์แรกของ Amore Pacific

 ซึ่งวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 1995 และที่มาของชื่อ HERA นั้นมาจากชื่อของเทพกรีกโบราณ

เป็นราชินีของเหล่าเทพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเทพแห่งการแต่งงาน เทพของสตรี

 เทพของเด็กทารก และเทพของครอบครัว

ในขณะที่ ISA KNOX นั้น จะเป็นผู้บุกเบิกในกลุ่มสกินแคร์แบรนด์แรกๆของ LG

วางจำหน่ายตั้งแต่ปี 1995

ที่ยังมีจำหน่ายอยู่ถึงปัจจุบันนี้  แต่หลังๆมา HERA ก็เริ่มทำ skincare ออกมาแข่ง

ซึ่งก็ทำได้ค่อนข้างดีซะด้วย  ทั้ง 2 แบรนด์นี้ จะเน้นความเป็นวิทยาศาสตร์หน่อยๆ

มีการดึงเอา Stem Cell จากพืช จากดอกไม้ นำมาเป็นส่วนผสมในสกินแคร์

 ทั้ง 2 แบรนด์นี้จะอยู่ในกลุ่มของคนวัยทำงาน 25 ปีขึ้นไปจะนิยมใช้ 2 แบรนด์นี้

ส่วนตัวส้มเอง จะชื่นชอบและหลงรัก HERA เอามากๆ

เพราะหลงรักในคุณภาพและดีไซน์ packaging ที่ดูทันสมัยและมีความหรูหราในตัว

แบบที่ดูแล้วไม่โอเว่อร์จนเกินไป เรียบหรูดูดีประมาณนั้นเลย

(พิมพ์ในช่อง search มุมขวาบนได้เลยค่ะ ส้มรีวิว HERA เอาไว้เยอะมากทีเดียว)

 

 

 

คู่ที่ 3 :  IOPE  VS   OHUI 

 

33

IOPE นั้นจะเป็นแบรนด์แรกของเกาหลีที่เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Cosmeceutical

วางจำหน่ายตั้งแต่ปี 1996  เน้นการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ออกมา

โดยแรกๆจะเริ่มผลิตกลุ่มไลน์  Retinol  แล้วก็ตามด้วย Super Vital Line ออกมา

จากนั้นที่ดังที่สุดก็คือ “Cushion” IOPE เป็นแบรนด์แรกของเกาหลีที่ทำ Cushion ออกมา

แล้วก็ทำให้เกิดกระแส Cushion ไปทั่วเกาหลีและเริ่มแพร่หลายมาฝั่งเอเชียและประเทศอื่นๆทั่วโลก

 

 

OHUI วางจำหน่ายเมื่อปี 1997  จะเป็นแบรนด์ที่มีปรัชญา “Nature Meets Science”

ก็หมายถึง การดึงเอาธรรมชาติกับวิทยาศาสตร์มาเข้าด้วยกันนั่นเอง”

และด้วหลักวิทยาศาสตร์ MicroAging Science นั้นจะช่วยลดสัญญาณแห่งผิวร่วงโรย

ให้ผู้ใช้ OHUI ได้มีผิวสุขภาพดี ดูอ่อนกว่าวัยและสวยขึ้น

คือพูดง่ายๆ  Same Age, Different Skin นั่นเอง คือ concept ของแบรนด์นี้

และจะเน้นกลุ่มเป้าหมาย อายุ 30-50 ปี  และพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์ก็คือ

Kim Tae Hee เจ้าหญิงแห่งวงการของเกาหลีนั่นเอง

ยิ่งทำให้แบรนด์นี้ น่าสนใจและน่าใช้มากๆเลยทีเดียว

ก็เรียกได้ว่า ทั้ง IOPE และ OHUI เองนั้น จะเน้นความทันสมัย

และความเป็นวิทยาศาสตร์ทั้งคู่เลย โดยเฉพาะนำคิดค้นสารสกัดอย่าง Cell จากพืชต่างๆ

นำมาใช้ในผลิตภัณฑ์ของทั้งคู่เอง   เวลาจะนึกถึงแบรนด์ที่เป็นแนววิทยาศาสตร์จ๋า

ส้มจะนึกถึง 2 แบรนด์นี้เลย ส่วนอันไหนจะดีกว่ากันนั้น

ก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละคนแล้วล่ะค่ะ ไม่ลองก็ไม่รู้เนอะ

 

 

คู่ที่ 4 : Hanyul  VS  Sooryehan

 

44

HANYUL  เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์น้องของ Sulwhasoo เลยก็ว่าได้

เพราะแบรนด์นี้จะเน้นกลุ่มเป้าหมายสาวๆที่เพิ่งจะเริ่มดูแลผิว ตั้งแต่วัยรุ่นถึงวัยทำงานเลย

โดยจะเน้นส่วนผสมอย่างพืชสมุนไพรเกาหลีมาใช้  ยกตัวอย่างเช่น โสมเกาหลี

มาเป็นส่วนผสมหลักในสกินแคร์แบรนด์นี้

 

Sooryehan  เน้นการนำเอาสมุนไพรของเกาหลีคุณภาพสูงมาใช้

เป็นส่วนผสมในสกินแคร์ของแบรนด์นี้ วางจำหน่ายเมื่อปี 2003

โดยที่คอนเซปท์ของแบรนด์คือต้องการผลิตสกินแคร์ที่จะช่วยเพิ่มพลังให้ผิวมีชีวิตชีวา

ให้ผิวสวยสุขภาพดีมีออร่าในแบบฉบับของเกาหลีนั่นเอง

 

ทั้ง 2 แบรนด์ ก็เรียกได้ว่า แทบจะคล้ายกันมาก แม้แต่ขวดผลิตภัณฑ์  แยกแทบจะไม่ออกเลย

แถมคอนเซปท์และการเลือกใช้ส่วนผสม แม้แต่กลุ่มเป้าหมายก็กลุ่มเดียวกันเลย

สุดท้ายก็อยู่ที่ผู้บริโภคอย่างเราๆที่จะเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวแต่ละคนแล้วล่ะเนอะ

 

 

คู่ที่ 5 :  eSpoir VS  VDL

 

66

จะบอกว่า คู่นี้ คือ คู่ที่แข่งกันได้สูสีมาก และส้มชอบมากเลยทั้ง 2 แบรนด์

แม้แต่เวปไซต์ยังทำแข่ง คล้ายกันเลย ไม่เชื่อลอง search google เข้าไปดูค่ะ

 

eSpoir เป็นแบรนด์เมคอัพ สีสันสดใส ที่เน้นความทันสมัย นำเทรนด์ และการ makeover

เปลี่ยนแปลงใบหน้าผู้หญิงให้สวยขึ้นด้วยการใช้เมคอัพแก้ไขจุดบกพร่องใบหน้านั่นเอง

คือเรียกง่ายๆว่าคอนเซปท์แบรนด์คือนี้ Power Of Transformaton

 

VDL เป็นแบรนด์เมคอัพ เน้นสีสันสดใสเช่นกัน คือต้องล้ำนำเทรนด์

มีความเป็นตะวันตกมากกว่าแบรนด์เกาหลีทั่วๆไป และเป็นแบรนด์เมคอัพที่

มักจะมีการ collaboration กับ makeup artist, เซเลบริตี้

รวมไปถึงแฟชั่นดีไซน์เนอร์ ชื่อดังทั่วโลก อย่างล่าสุดก็ได้ถึงเอา

Jung Saem Mool เมคอัพอาร์ทิสต์ชื่อดังของเกาหลี มาร่วมออกแบบผลิตภัณฑ์กับ

คอลเลคชั่น VDL x MULE ซึ่งจริงๆแล้ว Mule เองก็เป็นแบรนด์ในเครือ LG เช่นกัน

แต่รู้สึกว่าถูกนำมารวมเข้ากับ VDL เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และขายดีมากๆด้วย

โดยเฉพาะกลุ่มเมคอัพเบส ไม่ว่าจะเป็น คอนซีลเลอร์ ไฮไลท์ รองพื้น และแปรง

 

เรียกได้ว่าทั้ง 2 แบรนด์นี้ eSpoir และ VDL เป็นแบรนด์ที่แข่งกันอย่างสูสี มากที่สุด

ถ้าสังเกตนะคะ แบรนด์นี้จะแข่งกันเรื่อง แปรงแต่งหน้า มากกว่าแบรนด์เมคอัพอื่นๆของเกาหลีเลย

ซึ่งส้มใช้ทั้ง 2 แบรนด์แล้ว คุณภาพดีพอๆกันทั้งคู่เลย

แต่ก็อาจจะแตกต่างกันที่ gimmick หรือลูกเล่นที่แต่ละแบรนด์จะใส่เข้าไปแล้วล่ะ

ดังนั้นผู้บริโภคอย่างเราก็เลือกเอาที่เหมาะกับตัวเอง

เลือกสิ่งที่ใช่และชอบให้เหมาะกับบุคลิกของเราอีกทีเนอะ

(ซื้อหมดก็ไม่ไหว เปลืองค่ะ ฮ่าๆๆ)

 

 

 

 

คู่ที่ 6 :  ETUDE HOUSE VS LACVERT

 

55

 

 

 

ETUDE HOUSE  เอาแค่ชื่อแบรนด์ก่อน คำว่า ETUDE นั้นมาจากภาษาฝรั่งเศส

แปลว่า แบบฝึกหัด เป็นเพลงที่นักประพันธ์เพลงแต่งเพื่อมีวัตถุประสงค์ให้ลูกศิษย์

ได้ฝึกหัดเพลงที่มีทักษะในการเล่นที่สูงขึ้น เน้นกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลัก

ที่พึ่งเริ่มดูแลผิว และพึ่งเริ่มหัดแต่งหนา ให้สวยในสไตล์ของตัวเอง

ให้เป็นเจ้าหญิงในแบบของตัวเองประมาณนั้นเลย จะนึกถึงร้านที่แตกต่งหวานๆสไตล์

เจ้าหญิงสีชมพู หวานๆ คือแค่เดินเข้าไปในร้านก็รู้สึกความเป็นเจ้าหญิงแล้ว จริงมั้ยคะ

 

 

LACVERT วางจำหน่ายเมื่อปี 1994  ชื่อแบรนด์ นั้นมาจากภาษาฝรั่งเศสเหมือนกัน

ซึ่งคำว่า Lac นั้นหมายถึง ทะเลสาบ  ส่วน Vert นั้นหมายถึง สีเขียว

 เลยเป็นที่มาของแบรนด์ Lacvert ที่มีปรัชญาในการนำเสนอสกินแคร์

ที่มาจากส่วนผสมจากธรรมชาตินั่นเอง

แบรนด์นี้มีจุดมุ่งหมายในการฟื้นฟูผิวที่แห้งเสียจากภายใน

โดยจะเน้นสกินแคร์ที่ช่วยปรับสมดุลสภาพผิวที่แห้งให้มีความชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน

โดยกลุ่มเป้าหมายก็จะเป็นวัยรุ่น ที่เพิ่งจะเริ่มดูแลผิว

 

 

แต่สำหรับ 2 แบรนด์นี้นั้น จะเน้นพรีเซ็นเตอร์เป็นหลักเพื่อที่จะดึงดูดความสนใจ

วัยรุ่นให้มาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์

แต่ทั้ง 2 แบรนด์นี้แม้จะเน้นกลุ่มวัยรุ่นเหมือนกัน

แต่ดูแล้ว ETUDE HOUSE จะประสบความสำเร็จมากกว่าในเรื่องของ

ผลิตภัณฑ์ที่มีหลากหลายมากกว่า Lacvert ค่ะ

 

 

 

คู่ที่ 7 :  Innisfree, Mamonde VS The Face Shop

 

77

ถือว่าแบรนด์ที่เน้นความเป็นธรรมชาติ สารสกัดจากธรรมชาติ ที่แข่งกันระหว่าง 2 ค่ายนี้

ส้มคิดว่าทั้ง Innisfree และ Mamonde เองก็คอนเซปท์ธรรมชาติเหมือนกัน

เลยเอามาเป็น 2 แบรนด์จากค่าย Amore Pacific

ทำออกมาแข่งกับ The Face Shop ที่เป็นแบรนด์ในกลุ่ม Mass Product เหมือนกัน

และการแข่งขันของทั้ง 3 แบรนด์นี้ก็ค่อนข้างชัดเจนเห็นได้ชัดเลย

Innisfree เอาแค่ชื่อก่อนเลย Innisfree หมายถึง เกาะที่ช่วยปลดปล่อยให้ผิวได้ผ่อนคลาย

และเป็นแบรนด์ที่เน้นการนำเอาส่วนผสมจากธรรมชาติ โดยส่วนใหญ่จะนำมาจาก

เกาะเชจู เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นโคลนภูเขาไฟ ชาเขียว ส้ม ถั่ว และอื่นๆ เน้นความเป็นธรรมชาติ

 

 

Mamonde  เน้นการนำดอกไม้พืชพันธุ์ต่างๆ เอามาทำการวิจัยขั้นสูง

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของรากฐานความสวยของผิวเราอย่างแท้จริง

โดยดอกไม้แต่ละชนิดก็จะมีความโดดเด่นแตกต่างกัน แบรนด์ Mamonde

จะมีความเด่นในเรื่องการนำเอาสารสกัดจากดอกไม้ธรรมชาติมาใช้

เป็นส่วนผสมในสกินแคร์และเมคอัพเป็นหลัก  ฉะนั้นเวลานึกถึงแบรนด์ที่ใช้ดอกไม้

ส้มจะนึกถึง Mamonde เป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในใจเลย

 

 

The Face Shop เปิดตัวเมื่อปี 2003 และประสบความสำเร็จอย่างมาก

ตอนนี้ขยายไปทั่วโลกมากกว่า 500 แห่งแล้ว

เป็นแบรนด์สกินแคร์และเมคอัพที่เน้นส่วนผสมมาจาก

น้ำ ธัญพืช พืช ดอกไม้ ผลไม้ธรรมชาติหลากหลายชนิด

เพื่อผิวคงความสวยแบบธรรมชาติ

 

 

 

 

คู่ที่ 8 :  Primera VS Belif, Beyond

 

88

ถ้าพูดถึงความเป็น ECO Value ทำให้ส้มนึกถึงแบรนด์ Primera จาก Amore Pacific และ

แบรนด์ Beyond, Belief จาก LG เลยเอามา battle กันในรีวิวนี้

เพราะคอนเซปท์ของ 3 แบรนด์นี้แทบจะไม่ค่อยต่างเท่าไหร่

 

Primera  เป็นการนำเอาคำ 2 คำ มาผสมกัน ก็คือ Prime และ Era นั่นเอง

แบรนด์นี้จะเน้นการนำเอาความเป็นธรรมชาติของพืชพันธุ์ต่างๆมาเป็นส่วนผสมหลัก

ในผลิตภัณฑ์โดยมุ่งเน้ที่การบำรุงผิวให้ได้รประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้ผิวนั้นมีพลังสดชื่น

ให้ผิวแข็งแรงและสุขภาพ และที่สำคัญแบรนด์นี้ยังเน้นการใช้วัสดุจากธรรมชาติมาทำ

packaging  แค่ตัวหนังสือที่พิมพ์บนกล่องกระดาษ  ก็ใช้น้ำมันจากถั่วในการพิมพ์ตัวหนังสือ

ออกมา ส้มชอบคอนเซปท์แบรนด์นี้ตรงที่ว่า ให้พวกเราได้มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น

โดยที่มนุษย์และธรรมชาติสามารถหายใจร่วมกันได้ โอ้ว…รักษ์โลกมาก ประทับใจ

 

Belif  เริ่มจำหน่ายเมื่อปี 2010  เป็นแบรนด์ที่เน้นความเป็นธรรมชาติ

และ การดึงเอาความเป็นวิทยาศาสตร์มาผสมเข้าด้วยกัน

โดยจะใช้เฉพาะสารสกัดจากธรรมชาติบริสุทธิ์เท่านั้น และ

ดีไซน์แพคเกจเรียบง่าย ไม่มีสีสันฉูดฉาด

 และจะเน้นการนำเสนอสกินแคร์ที่ตอบโจทย์ผิวที่มีปัญหาเช่น

ผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง ผิวเป็นสิว ประมาณนี้เลยค่ะ

 

Beyond เริ่มจำหน่ายเมื่อปี 2005  เป็นแบรนด์ที่รักษ์โลก ECO Value

 ให้มนุษย์และธรรมชาติใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

โดยไม่ว่าจะเป็น การผลิต ส่วนผสมจะมาจากพืชพันธุ์จากธรรมชาติเป็นหลัก

 

 

 

คู่ที่ 9 :Ryo VS  Re-En

99

เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม ที่แข่งกันอย่างชัดเจนมาก

เอาแค่ชื่อ ก็ยังใกล้เคียง Ryo กับ ReEn และขวดผลิตภัณฑ์ยังดีไซน์ออกมาซะ

แทบจะแยกไม่ออก  แต่ส่วนตัวนะ บริษัท LG เค้ามักจะดีไซน์ packaging

ออกมาได้สวยหรูดูแพงมากกว่า Amore Pacific นะ

สังเกตง่ายๆจากแบรนด์ The History Of Whoo คือ ความอลังการมีเยอะกว่ามาก

 

RYO  เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ทั้งแชมพู ครีมนวด ทรีทเม้นท์ต่างๆ

ซึ่งเน้นส่วนผสมจากสมุนไพรเกาหลีโบราณ ผนวกกับการนำเอาวิทยาศาสตร์

ของแพทย์โบราณมาผสมผสาน  โดยผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จะเด่นในเรื่องของการแก้ไขปัญหาเส้นผม

และ หนังศีรษะเป็นหลัก  วางขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตในเกาหลี

 

ReEn  เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมที่คิดค้นจากสมุนไพรและตำหรับยาของเกาหลีโบราณ

เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้ใช้ได้มีเส้นผมที่แข็งแรง สุขภาพดีเป็นเงางาม

และให้ความหรูหราในตัวแบรนด์เอง เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์บำรุงเส้นผมที่เป็น

การนำเอาสมุนไพรโบราณมาใช้สำหรับ mass market ครั้งแรก

เพื่อเส้นผมชาวเอเชียโดยเฉพาะ 

 

ซึ่งส้มได้ซื้อ แชมพู ครีมนวด ของทั้ง 2 ค่ายนี้มารีวิวเทียบละ ลองอ่านดูได้ที่ ลิงค์ นี้เลยนะคะ

 

คู่ที่ 10  : Mirepa VS Vonin

10

ถ้าพูดถึงสกินแคร์ และ น้ำหอม ที่ทำออกมาเพื่อผู้ชายโดยเฉพาะ 2 แบรนด์นี้

คือ แข่งกันอย่างชัดเจนมากๆค่ะ

 

 

Mirepa  เป็นแบรนด์สกินแคร์และน้ำหอมสำหรับผู้ชาย ที่นำเสนอความเป็น Avant-Garde

คือคนที่ทำงานด้วยรักที่มีต่องานศิลปะ ต่อวัฒนธรรมและการเมืองอย่างจริงจัง

ซึ่งเริ่มเมื่อประมาณยุคปี 20 ในประเทศอิตาลี

นำเสนอถึงผู้ชายที่มีความอบอุ่นในตัว

โดยผลิตภัณฑ์ของแบรนด์จะดึงเอาความสดชื่นของพืชสมุนไพรธรรมชาติมาเป็น

ส่วนผสมหลักในน้ำหอมและสกินแคร์ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ชายโดยเฉพาะนั่นเอง

Vonin เป็นแบรนด์ที่มีการรวมคำศัพท์ จากคำว่า Von + Invididual ออกมาเป็น Vonin

ซึ่งจะสื่อถึงอัศวินที่เป็นผู้นำในสังคม วัฒนธรรมและแฟชั่น ที่แสดงออกถึงรสนิยมในแต่ละยุคสมัย

โดยผลิตภัณฑ์ก็จะเหมาะกับผู้ชายทุกช่วงอายุ และตอบโจทย์ปัญหาผิวของผู้ชายโดยเฉพาะ

 

เป็นยังไงกันบ้างคะ แต่ละแบรนด์จากทั้ง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amore Pacific และ LG

เค้าก็แข่งกันอย่างดุเดือนกันเต็มที่ เพื่อตอบสนอง need ของพวกเราเหล่าผู้บริโภคเนี่ยแหละค่ะ

 ส่วนใครจะชอบอันไหนมากกว่า อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ว่าชอบแบรนด์ไหนมากกว่า

หรือ ชอบ packaging หรือ ชอบคุณภาพ หรือ แม้แต่ส่วนผสม สุดท้ายแล้วไม่มีใครบอกได้นะคะ

ว่าอันไหนดีกว่า เพราะคุณเองเท่านั้น ที่จะสามารถตอบได้ ต้องลองด้วยตัวเองนะคะ

ส้มเองก็เป็นแค่ beauty blogger คนนึงที่ชื่นชอบเครื่องสำอางเกาหลีแบบบ้าคลั่ง

ศึกษามาหลายปีเลยรวบรวมเอาสิ่งที่เรารู้ และประสบการณ์การใช้จริง

มาแบ่งปันให้ได้อ่านเป็นประโยชน์แต่ผู้อ่านต่อไป และถ้าใครอยากรู้

เกี่ยวกับแบรนด์แต่ละแบรนด์ที่พูดมาทั้งหมด ส้มเองก็เคยรีวิวเอาไว้แล้วหลายตัวเหมือนกัน

ลองพิมพ์ในช่อง search ด้านบนขวาดูนะคะ เผื่อใครต้องการข้อมูลเนอะ

 

 

ยังไงวันนี้ก็ต้องขอบคุณทุกคนมากๆที่ติดตามอ่านบล๊อคของส้มมาโดยตลอด

แล้วต่อไปจะมาเขียนเรื่องอะไรให้ได้อ่านอีก ก็ติดตามกันต่อไปนะคะ

แล้วพบกันใหม่ในรีวิวครั้งหน้าค่ะ

 

facebook_tv

ข้อมูลอ้างอิง
http://www.amorepacific.com
http://www.lgcare.com/
http://en.koreadepart.com/
http://hope-inablog.com/
http://www.beautyintrend.com/

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Prev Post Next Post