Review : ทำหน้าใสใน 7 วันด้วย Skin Stamping + Cryo Therapy ใหม่ล่าสุดจากเกาหลี ที่เดียวในเมืองไทย!!
เมื่อวันเสาร์ที่ 25สิงหาคมที่ผ่านมาได้รับเชิญไป Workshop ที่
ศูนย์นวัตกรรมความงามกรุงเทพ (Bangkok Premier Clinic – A.I.C.) พระราม 4
กับนายแพทย์ พุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ
ซึ่งเป็นยแพทย์มือหนึ่งของวงการร้อยไหมและแพทย์ต้นแบบ
การร้อยไหมUltra V Lift คนแรกของเมืองไทย
งานเริ่มตั้งแต่บ่าย 2 …เลิกตอนประมาณ 3 ทุ่มค่ะ
คุณหมอเองก็ได้เริ่มจากการแนะนำตัวเองพร้อมทั้งแนะนำนวัตกรรม
เทคโนโลยีใหม่จากเกาหลี รวมไปถึงเทรนด์ในปีนี้และปีหน้า
ว่าจะมีเทคโนโลยีในการรักษาผิวหนาอย่างไรบ้าง
ซึ่งคุณหมอได้พูดถึง 3 หัวข้อใหญ่ๆด้วยกันนั่นก็คือ
1. Minimal invasive surgeryกับ Trend ความงามแห่งอนาคต
2. นวัตกรรมใหม่ของปี 2012-2013
3. ไขข้อข้องใจกับการร้อยไหมยกกระชับ
มาเริ่มที่หัวข้อแรกกันเลยนะคะ
1. Minimal invasive surgeryกับ Trend ความงามแห่งอนาคต
ได้ผลชัดเจนไม่แพ้การผ่าตัด
ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
ไม่มีผลข้างเคียงระยะยาว
ให้ความสวยงามเป็นธรรมชาติกว่า
แพงกว่า
ซึ่งเทรนด์ในการดูแลผิวหน้ารวมไปถึงการปรับรูปหน้านั้น
นวัตกรรมใหม่ๆจะมีอยู่4 อย่างด้วยกัน
IntradermalAir Dissector
Future solution for Skin Rejuvenation
Pang Pang
New generation of IPL
แต่เนื่องจากบางตัวนั้นยังเป็นPrototype อยู่ คาดว่าจะเริ่มมีในปีหน้า
วันนี้ก็จะขอพูดถึงสิ่งที่มีแล้วก็ละกันนะคะ
ซึ่งนวัตกรรมใหม่ที่คุณหมอนำเสนอก็คือ
Intradermal Air Dissector
เทคโนโลยีการแยกชั้นผิวและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ตามธรรมชาติ
ทั้งในแนวระนาบและแนวตั้งทำให้ผิวหน้าฟู ตึงกระชับ
ชั้นผิวหนาและแข็งแรงขึ้น อายุผิวหน้าอ่อนเยาว์ลง
โดยใช้เทคโนโลยีแรงดันอากาศสูง ก่อนผลักวิตามิน สเต็มเซลล์
และสารบำรุงผิวเข้มข้นสูงสูตรเฉพาะของคุณหมอเอง
วิธีการนี้ตอนแรกอยากจะทำ แต่ก็แอบกลัว แต่พอได้เห็นพี่น้ำตาล Bemynails ทำแล้ว
มันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะรู้สึกว่าทำแล้วมันเห็นผลมากกว่า
อย่างตัวส้มเองมีหลุมสิวเพราะเมื่อก่อนเป็นสิวเยอะมาก
เคยไปทำเลเซอร์ FineScan ก็ดีขึ้น แต่ไม่มาก
หลุมสิวก็ยังคงอยู่ แถมทำแล้วทำให้หน้าดูคล้ำลง
เพื่อเป็นการเปิดผิวเพื่อที่จะได้รับวิตามินเข้าสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น
ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ให้เกิดผิวใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ
และไม่เป็นการทำร้ายผิวเหมือนพวกเลเซอร์หากเราทำเลเซอร์บ่อยๆ
ผิวหน้าเราก็จะได้รับรังสีเข้ามากซึ่งมันก็
อาจจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงในอนาคตได้ค่ะ
ดังนั้นเทรนด์ในปีนี้และปีหน้าจึงจะเป็น
นวัตกรรมที่ไม่ทำให้ใบหน้าถูกทำลายมากที่สุดจึงเรียกว่า
Minimal invasive surgery นั่นเอง
มาดูหน้าตาของอุปกรณ์ในการทำDerma Stamping กันก่อนเลยนะคะ
จริงๆก็ถ้าดูผ่านๆมันก็ไม่มีอะไร เหมือนอุปกรณ์stamp ทั่วๆไป
ต่างกันตรงที่มันมีเข็มเล็กๆเรียงกันอยู่เนี่ยแหละค่ะ
แอบน่ากลัวนะ(นึกถึงแผ่นตะปูที่คนอินเดียเอามานั่งโชว์ ยังไงยังงั้นเลยค่ะ)
วิธีการทำ Derma stamping
เริ่มจากการทายาชาให้ทั่วใบหน้าแล้วทิ้งไว้ประมาณ15-20 นาที
(จะบอกว่า“ยาชาที่นี่เจ๋งมากๆค่ะ” ไม่ต้องทิ้งไว้นานเหมือนที่อื่นที่เคยไปทำ)
พอหน้าเราเริ่มชาแล้วก็จะทำการเช็ดยาชาออกให้หมด
เช็ดหน้าด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้ออีกครั้งเพื่อเตรียมพร้อมผิวในการทำ
Skin stamping ในขั้นตอนต่อไป
จากนั้นคุณหมอก็จะเริ่มนำเอา Stamp มากดให้ทั่วใบหน้า
เป็นการกระตุ้นผิวให้เกิดการบาดเจ็บเล็กน้อย
เซลล์ผิวหนังก็จะปล่อยสารกระตุ้นออกมาซ่อมแซมผิวตัวเองออกมา
ทำให้เกิดการซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว ในขั้นตอนนี้ ไม่รู้สึกเจ็บเลยค่ะ
รู้สึกแค่เหมือนมีอะไรมากดที่หน้าเบาๆ
ความรู้สึกเหมือนเราเอาปลายเข็มมาจิ้มที่มือนิดเดียว
เนื่องจากยาชาออกฤทธิดีมากก็เลยสบายๆค่ะ
ขั้นตอนนี้คุณหมอใช้เวลาประมาณ15 นาทีค่ะ
จากนั้นก็จะเป็นการเติมสารบำรุงที่มีส่วนผสมของ Growth Factor
และวิตามินลงบนผิวที่ผ่านการ Stamping แล้ว
ซึ่งสารบำรุงนี้จะเป็นส่วนเพิ่มเติมมาจากสารกระตุ้นการซ่อมแซมตัวเอง
ที่ผิวของเราจะหลั่งออกมาจากเซลล์ตามธรรมชาติเมื่อเกิดการบาดเจ็บที่ผิวค่ะ
หลังจากนั้นคุณหมอก็จะใช้เครื่อง Cryo Therapy
เป็นเครื่องทำความเย็นพิเศษ ที่ให้ความเย็นถึงติดลบ 15 องศาเซลเซียส
เพื่อผลักสารบำรุงเข้าสู่ผิวและช่วยลดอาการบวมแดง
ทำให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้นค่ะ ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีค่ะ
ส่วนวิธีการทำ Derma Stamping + Cryo Therapy
ลองเข้าไปชมในวีดีโอนี้เลยนะคะ
ข้อดีของการทำ Derma Stamping
ที่ต่างจากเลเซอร์ตามที่คุณหมอให้คำอธิบายมาคือ
การทำเลเซอร์นั้นเป็นเพียงแค่การรักษาจากขั้นตอนที่ 1 เท่านั้น
แต่ Derma Stamping จะช่วยแก้ปัญหาใน 3 ขั้นตอนคือ
ทำให้ผิวเกิดการซ่อมแซมตัวเองกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
และคอลลาเจนใต้ผิวได้ดีกว่าการทำเลเซอร์
แถมยังไม่ต้องพักฟื้นสามารถโดนแดดได้ ไม่ต้องกลัวว่าหน้าจะดำ
หรือหน้าเป็นแผล เพราะเป็นวิธีการที่รักษา
โดยไม่ทำร้ายผิวหนังอย่างรุนแรงเหมือนการทำเลเซอร์
และให้ผลการรักษาที่เห็นผลชัดเจนมากกว่า
พอทำเสร็จก็รีบถ่ายรูปเอาไว้
จะได้เห็นว่าหน้ามันแดงน้อยลงกว่าตอนที่เห็นในวีดีโอเยอะเลยค่ะ
และวันรุ่งขึ้นก็ถ่ายรูปมาให้ดูว่ารอยแดงได้หายไปแล้วค่ะ
ซึ่งดีมากๆเพราะเราไม่ต้องพักฟื้นอะไร
เพียงแต่ต้องไม่แต่งหน้า 1 วันหลังทำ และล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเท่านั้นค่ะ
ความรู้สึกหลังการทำได้1 วัน
สังเกตผิวหน้าตัวเองหลังทำได้1 วันคือ
“ผิวหน้าดูกระชับและตึงขึ้น” เพราะจะเป็นคนชอบกดผิว
เอานิ้วจิ้มๆผิวหน้าแทบทุกวันเพื่อดูความยืดหยุ่นของผิว
ปกติมันจะไม่เด้งกลับคืนมาในทันที (ตามอายุอานามอ่ะนะคะ 55)
ผลหลังการทำวันที่ 1 และวันที่ 3
ผลหลังการทำในวันที่ 4 และวันที่ 7
สรุปผลหลังการทำครบ 1 สัปดาห์
ข้อดีของการทำ Derma Stamping
“ผิวดูกระจ่างใสขึ้น และเนียนเรียบขึ้นโดยเฉพาะรอยหลุมสิว และพวก
รอยแดงรวมไปถึงจุดด่างดำบนผิวหน้าดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด”
ที่สำคัญผิวมีความยืดหยุ่นดีขึ้นมากๆค่ะ
สัมผัสผิวได้รู้สึกได้เลยว่าผิวแข็งแรงขึ้นและดูตึงมากขึ้น
ข้อเสีย
ราคาค่อนข้างสูง ในการทำแต่ละครั้ง จะอยู่ที่ราคา 10,000 บาท/ครั้ง
ซึ่งก็นับว่าสูงกว่าการรักษาหน้าด้วยเลเซอร์ทั่วไป
(แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา ในความคิดของส้มเองนะคะ
ส้มว่าคุ้มกว่าการที่ส้มไปทำ Fine Scan / Frazel 6 ครั้ง ในราคาพอๆกัน)
สุดท้าย ก็ต้องขอขอบคุณนพ.พุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ
จาก AIC ศูนย์นวัตกรรมความงาม ที่เชิญให้ส้มได้เข้าร่วม Workshop ในครั้งนี้ค่ะ
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ AIC ได้ที่เบอร์ 02-287-1200 ค่ะ