บอกเล่าเรื่องราว: ปฏิบัติธรรมครั้งที่ 3 กับพระอาจารย์เอกชัย สิริญาโณ ที่บ้านพุฒมณฑา 16-18 พค.57

May 19, 2014

นี่เป็นครั้งที่ 3 ที่ส้มได้มีโอกาสไปเข้าร่วมปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์เอกชัย สิริญาโนที่เคารพยิ่ง

(ถ้ารวมกับงานมุทิตาจิต หรือ งานวันเกิดพระอาจารย์ซึ่งจะเป็นธรรมะบรรยาย ก็คงจะนับว่าเป็น 5 ครั้ง)

 ดูภาพบรรยากาศได้ >>  ที่นี่ 

 

แล้วถามว่า ทำไมถึงต้องมาปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ท่านนี้?

ส้มบอกได้แค่ว่า พระอาจารย์ได้สอนธรรมะให้ส้มได้เข้าใจอย่างง่ายๆและที่สำคัญ

เรียนรู้กับพระอาจารย์แล้ว สามารถนำเอาสิ่งที่เรียนมาใช้ในชีวิตประจำวันได้

นั่นคือสิ่งที่ส้มคิดว่า เป็นอะไรที่สุดยอดมาก

 10172637_10201111085819779_6416076123001358494_n

และแน่นอน…มักจะมีคนถามส้มว่า แล้ว ส้มมาปฏิบัติธรรมเนี่ย ส้มได้อะไร

ส้มเลยนึกถึงคำพูดของพระอาจารย์ ที่มีคนถามเอาไว้

เลยขอเอาคำตอบของพระอาจารย์เอกชัยมาตอบนะคะ

พระอาจารย์บอกว่า “ลองนึกถึงคนที่อยู่ป่าอเมซอน หรือ ชนเผ่าผีตองเหลือง ที่เค้าไม่อาบน้ำกัน

  คนเหล่านี้ไม่อาบน้ำก็ไม่ตายใช่มั้ย แต่ถ้าเค้าลองได้อาบน้ำ ได้ขัดขี้ไคลสักครั้ง

เค้าจะต้องรู้สึกว่า รู้อย่างนี้ อาบน้ำตั้งนานแล้ว จริงมั้ย..?

การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน หากเราไม่ไปปฏิบัติ เราก็ใช้ชีวิตอยู่ได้ เราก็ไม่ตาย

 แต่ถ้าหากเราได้ลองไปปฏิบัติธรรมสักครั้ง เราจะรู้เลยว่า

เราปล่อยให้ใจเราขุ่นมัวและสกปรกมานานขนาดนี้ได้ยังไง รู้อย่างนี้ คงอาบน้ำมาตั้งนานแล้ว”

 

ซึ่งส้มคิดได้อย่างนั้นเช่นกัน “รู้แบบนี้ มาปฏิบัติธรรมมาตั้งนานแล้ว”

คนอื่นๆที่เค้าเคยชวนเรา เค้าก็คงหวังดี ปรารถนาดี ที่อยากให้เราได้เจอกับสิ่งดีดี

ตัวส้มเองถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ก็ไม่เคยเข้าใจนะจริงแล้วธรรมะคืออะไร

 

จนกระทั่งแม่ชวนไปปฏิบัติธรรม ส้มก็ไปอย่างง่ายๆไม่ได้อิดออดอะไร

 เพราะเราอยากรู้ว่าเค้าทำอะไรกัน  พอได้ไปแค่ครั้งเดียว มันทำให้เรารู้เลยว่า

ตลอด30 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยดูใจตัวเองเลย เรามีแต่เอาใจของเราออกไปข้างนอก

 ว่าคนนู้นคนนี้ไม่ดีบ้าง ว่าคนนั้นทำให้เราเสียใจบ้าง

แต่เราไม่เคยกลับมาดูใจตัวเองเลยว่า “ใจเรามันสกปรกขนาดไหน

คำว่า สกปรก ในทีนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราคิดชั่วนะ

แต่ใจของเรามันขุ่นมัว มันไม่สะอาด มีคราบ มีสนิมเกาะเต็มไปหมด

 

ตลอดระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ของวันที่ 16-18 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา

ส้มได้ชวนเพื่อนและชวนพี่ที่สนิทไปด้วย ซึ่งพี่เค้าก็ได้ชวนพี่และเพื่อนไปด้วยอีก

รวมครั้งนี้ ไปกันทั้งหมด 5 คน…. คือ ส้มดีใจมากเลย

ไม่คิดว่า จากการที่เราได้เอาตัวเองมาคนแรกพร้อมกับแม่ครั้งนั้น

มันทำให้เราสามารถชวนคนอื่นไปด้วยได้เพิ่ม มันอิ่มใจตรงที่

เรารู้ว่า คนที่เราชวนมาด้วย เค้ากำลังจะได้สิ่งดีดีติดตัวเค้าตลอดชีวิต

CIMG0046

เนื่องด้วย ช่วงนี้ พระอาจารย์ทำงานเยอะมากๆ ช่วยเหลือโครงการต่างๆ

ของทั้งทหาร และ ตำรวจมากมาย ตอนแรกพระอาจารย์บอกว่า

เกือบจะได้ยกเลิกกิจกรรมในครั้งนี้แล้ว แต่ก็เห็นว่าหลายคนตั้งใจมา

เลยตัดสินใจไม่ยกเลิก ซึ่งก็นับว่าเป็นบุญของเรามากเลย

และอย่างที่บอกไป พระอาจารย์ปกติจะสอนตั้งแต่วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ช่วงบ่ายๆ

แต่เนื่องจากวันจันทร์ถัดมา มีงานต่อ

 พระอาจารย์ก็เลยต้องรีบปิดคอร์สตอนเที่ยงวันอาทิตย์  ทำให้การสอนครั้งนี้

 พระอาจารย์จึงพยายามให้เราได้ปฏิบัติกันค่อนข้างเยอะ

ถ้าเทียบกับครั้งก่อนๆที่ผ่านมา ที่ส้มเคยได้มาปฏิบัติธรรมในหลักสูตรเดียวกันนี้

 

ก็คือ หลักสูตร “สติรู้ตัว ปัญญารู้คิด”

ถามว่าหลักสูตรเดียวกันนี้ มาแต่ละครั้ง พระอาจารย์สอนเหมือนกันมั้ย

โดยรวมจะคล้ายๆกันแต่จะไม่เหมือนกันซะทีเดียว

เพราะแต่ละครั้งที่มา เราก็จะได้อะไรกลับไปที่เพิ่มเติมมากขึ้นจากครั้งที่แล้ว

ส้มเคยเขียนบล๊อคเอาไว้ครั้งที่แล้ว ที่เป็นครั้งแรกที่ส้มได้มาปฏิบัติกับพระอาจารย์

อาจจะลองเข้าไปอ่านดูได้ตามลิงค์นี้ค่ะ  << Click >> 

 

ครั้งนี้ที่มา…ส้มได้อะไรบ้าง

ส้มได้กลับมาดูใจตัวเองอีกครั้งหนึ่ง อย่างที่บอกไปนะคะ

คนเราดำเนินชีวิตในแต่ละวัน โดยที่เรา เอาใจตัวเองออกข้างนอกหมด

โดยที่ไม่เคยหันกลับมาดูใจตัวเองเลยว่า ตอนนี้ใจตัวเองเป็นยังไง

ยกตัวอย่าง เวลาที่เราทะเลาะกับแฟน เรามองแต่ในมุมของตัวเราเอง

เราว่าเค้าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เราไม่ได้ดูเลยว่า ที่แฟนเราเค้าว่าเรากลับเป็นเพราะอะไร

ถ้าไม่มีเหตุ มันก็คงไม่มีผลเกิดขึ้น จริงมั้ย?

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุและผล

เราต้องย้อนมาดูที่เหตุก่อน ว่ามันเกิดจากอะไร ถ้าเราทำตัวเองไม่ดี

แฟนเค้าเห็นว่ามันไม่ดี เค้าก็อาจจะว่ากล่าวตักเตือนเรามา

แต่เราต่างหาก ที่ไม่รู้จักยอมรับ ว่าตัวเราเองนั้นที่เป็นต้นเหตุของการทะเลาะ

เราต่างหากที่ทำไม่ถูกต้อง เขาจึงเตือนเรา

แต่เพราะทุกคน มักจะเข้าข้างตัวเอง และโทษคนอื่น

หาข้ออ้างสารพัดที่ทำให้เรารู้สึกดี ฉันชนะ ฉันไม่ผิด จริงมั้ย?

มาปฏิบัติธรรมครั้งนี้ จึงได้แนวคิดในการที่จะเรียนรู้ ทุกข์ ยอมรับทุกข์ที่เกิด

และหาทางที่จะดับทุกข์นั้นเสีย ซึ่งมันก็คือหัวใจของหลักพระพุทธศาสนาของเรานั่นเอง

ถ้าใครได้เรียนก็พอจะนึกออกใช่มั้ยคะ ว่ามันก็คือ “อริยสัจ 4 นั่นเอง”

พวกเราได้เรียนกันมาทุกคนในสมัยเด็กๆ แต่เรามีแต่่ท่องๆๆ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

แต่ไม่เคยเข้าใจความหมายจริงๆว่าคืออะไร

แต่การปฏิบัติธรรม พระอาจารย์ได้นำทั้งหมดนี้มาสอน และทำให้เราเข้าใจได้ง่ายๆ

และที่สำคัญ เราได้นำมาใช้ในชีวิตจริง

ซึ่งส้มบอกได้เลยว่า…ตัวส้มดีขึ้นมากๆ  เวลาเจอคนนินทาเรา หรือ ใส่ร้ายป้ายสีเรา

เป็นเมื่อก่อน ส้มจะโกรธมาก แล้วก็เก็บเอามาคิด ฟุ้งซ่าน เสียใจ น้อยใจ

สารพัดความรู้สึกที่มันถ่าโถมเข้ามาในใจเรา ทำให้เราเป็นทุกข์

ซึ่งมันก็ส่งผลต่อหน้าตาของเรา ใครเห็น ใครก็ไม่อยากจะเข้ามาใกล้

ตัวเราเนี่ยเป็นบรรยากาศให้คนรอบข้าง

พอส้มได้มาฝึกพัฒนาจิตใจตัวเอง มันทำให้เรารู้หลักวิธีที่จะจัดการความคิดเหล่านี้

เดี๋ยวนี้เวลาเจอใครนินทาหรือใครว่าอะไรไม่ดี

แม้เราจะเกิดความรู้สึกโกรธขึ้น มา ตอนนี้ก็แค่ เห็นละความโกรธ แล้วก็หยุด ไม่เอาใจ หรือ อารมณ์ไปใส่เพิ่ม

แล้วก็คิดได้ว่า อ่อ…เพราะเค้าเป็นแบบนี้ เค้าเป็นคนนิสัยแบบนี้ มันคือธรรมชาติของเขา

เราก็ยอมรับมันซะ เพราะการที่จะคนๆหนึ่งเปลี่ยนแปลงนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย

ก็ช่างมัน ไม่เก็บเอามาใส่ใจอีก ไม่มีใครทำร้ายเราได้ นอกจากตัวเราเอง

นึกง่ายๆ คนที่เค้าว่าเรา นินทาเรา หรืออะไรก็ตามแต่ที่มันไม่ดี

เปรียบเสมือน เค้าวางมีดเอาไว้ตรงหน้าเรา  แต่ตัวเราต่างหาก

ที่เอามือไปหยิบมีดเล่มนั้นขึ้นมา แล้วก็มาเอามาทิ่มหัวใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แล้วสุดท้าย คนที่เป็นทุกข์ที่สุด ก็คือ ตัวของเราเอง

 

พระอาจารย์ได้เล่าถึง เรื่องของคุณตุ๊ก ดวงตา ตุงคะมณี นักแสดงชื่อดังที่พวกเรารู้จักกันเป็นอย่างดี

คุณตุ๊ก เป็นคนที่ติดบุหรี่มาก ติดมาหลายปี เลิกไม่ได้

จนคุณตุ๊ก ได้มีโอกาสมาปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์

พระอาจารย์เลยบอกว่า “บุหรี่ มันเป็นของนอกกาย อยู่แค่ในกระเป๋า

ยังจะโง่ไปล้วงหยิบมันขึ้นมาใส่เข้าไปในปากอีก”

แค่ประโยคเดียว มันทำให้คุณตุ๊กได้สติ เกิดปัญญาขึ้นมา และหลังจากนั้นคุณตุ๊กก็เลิกบุหรี่ได้อย่างเด็ดขาด

นี่ไง…ถึงบอกว่า สติ เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่พวกเราต้องมี

สติมา ปัญญาเกิด  ได้ยินกันบ่อย แต่ทำกันได้หรือเปล่า

นี่คือสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ ซึ่งมันจะได้จากการที่เราปฏิบัติธรรม

 

และอีกเรื่องหนึ่ง คือการเดินจงกรม และ นั่งสมาธิ

ทั้ง 2 อย่างเป็นการฝึกให้เราได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง

ฝึกให้เราได้มีสติ รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา

และที่สำคัญ มันทำให้เรามองเห็นทุกข์ แต่มองเห็นแล้วก็แค่เห็น ไม่ได้เอาอารมณ์ เอาความรู้สึกไปใส่ร่วมด้วย

 

10369728_10201111097740077_1704797824427098287_n  10366286_10201111126620799_611691733627051586_n

ยกตัวอย่างง่ายๆ…เวลาที่เรานั่่งสมาธิเนี่ย ปกติเราก็จะนั่งขัดสมาธิ ซึ่งการทำสมาธินั้น

เราจะอยุ่ในอริยาบถอะไรก็นั่ง จะได้เหยียดขา นั่งกอดอก หรือ แม้แต่นอนหลับตาก็ทำสมาธิได้

ซึ่งพระอาจารย์ก็ได้ให้เราลองปรับเปลี่ยนท่านั่งด้วย มันก็อาจจะทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่รู้สึกเกร็ง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็เป็นแค่ท่า สิ่งที่สำคัญ คือ การที่เราได้มีสติรู้ตัวอยู่ ณ ปัจจุบัน นั่นเอง

เวลาที่เราสั่งสมาธิ ให้เราแค่รู้สึกลมหายใจเข้าออก ท้องที่กระเพื่อม

ลมเย็นๆทีพัดมากระทบตัวเรา ให้เรารู้สึกแค่นั้นพอ แต่แน่นอนคนเรามักจะมีความคิดเข้ามา

เรื่องนู้นเรื่องนี้ จิตปรุงแต่งขึ้นมาสารพัด  แต่ถ้าเราเห็นแล้วว่า ความคิดมันเข้ามา

เราก็แค่เพียง หยุดความคิดนั้น แล้วกลับมาที่การรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออก

รู้เนื้อรู้ตัวก็พอ… และพอนั่งไปซักพัก เราจะเริ่มรู้สึกปวดขา

ซึ่งมันเป็นทุกคน…ถ้าปวด ก็แค่ให้เรารู้ ว่าปวด เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้น

แต่พอเรารู้แล้ว เรากลับมาดูลมหายใจเหมือนเดิมต่อ เราไม่เอาใจ เอาความรู้สึกหรืออารมณ์

เข้าไปอยู่ตรงความเจ็บปวดตรงนั้น ซักพักเราจะไม่รู้สึกเจ็บหรือปวด

เพราะอะไรน่ะเหรอ….เพราะว่า ใจ และ กายของเรามันคนละส่วนกัน

กายก็ส่วนกาย ใจก็ส่วนใจ

มันเป็นสิ่งที่เราต้องฝึก แล้วสิ่งนี้แหละ…ที่ทำให้ส้มได้เข้าใจและนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน

พอแค่เรารู้ เราเห็น แล้วเราก็ดับมันลง… เชื่อมั้ยว่า ทุกวันนี้ ตื่นมาใจส้มมันมีความสุข มันเบิกบาน

มันไม่ได้สุขมาก หรือ ทุกข์มาก มันอยู่กลางๆ เบาๆ อิ่มๆ

พอเรารักษาใจให้อยู่ระดับกลางๆแบบนี้นะ….เจออะไรเราก็ไม่มีอะไรต้องทุกข์

เพราะเรารู้แล้วว่า เราจะจัดการอย่างไร เราแยกแยะได้ ว่ากายก็ส่วนกาย ใจก็ส่วนใจ

ต่อให้มีเรื่องมากระทบใจ เราก็ไม่เอาความรู้สึก หรือ เอาใจไปใส่ให้มันเกิดทุกข์ขึ้นมาอีก

 

10314022_10201111129780878_3073911937229818768_n

หลายคนอ่านมา ถึง ตอนนี้ อาจจะยัง งงๆ และ อาจจะยังไม่เข้าใจ

ส้มก็ขอเชิญ ให้ได้มีโอกาสสักครั้ง ได้ไปลองปฏิบัติธรรมดู แล้วจะเข้าใจมากกว่านี้

ศาสนาพุทธของเรา เป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ ลงมือทำ ไม่ใช่ศาสนาแห่งการขอแต่อย่างใด

ลองไปดูแล้วจะเข้าใจค่ะ

และอีกอย่างที่ได้เรียนรู้ ก็คือ “คุณค่าของตัวเรา”

ส้มบอกเลยนะว่า ตั้งแต่ได้ปฏิบัติธรรมมา และติดตามพระอาจารย์มาตลอดผ่านทาง Facebook 

 

ทำให้เห็นเลยว่า พระอาจารย์เป็นพระนักพัฒนา ที่ช่วยเหลือสังคมเยอะมากๆๆๆๆๆๆ

นี่คือสิ่งที่พระอาจารย์สอนเลย ก็คือ การมีคุณค่าในตัวเอง

ทุกวันนี้เราลองคิดดูว่า เราทำตัวเองให้มีคุณค่าต่อตนเองและสังคมแล้วหรือยัง

พระอาจารย์เปิดคลิปนี้ให้ได้ดูค่ะ

เป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่เก็บเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยงดูเป็นลูกตัวเอง

คนรอบข้างไม่รู้เรื่องราวของผู้หญิงคนนี้ ต่างก็มองเค้าว่าเค้าเป็นคนไม่ดี

แต่มาดูกัน ว่าอะไรที่ทำให้เค้ากลายเป็นผู้หญิงที่มีคุณค่ามากที่สุด

ชีวิตที่มีคุณค่า ก็คือ ชีวิตที่ไม่ใช่มีเงินทองเยอะแยะ ร่ำรวย

แต่คือ ชีวิตที่ตัวเรามีคุณค่า และ ทำให้ชีวิตของคนอื่นมีค่า

พระอาจารย์จึงได้เปิดคลิปโฆษณาเรื่องราวของแม่ต้อยได้ดู คิดว่าทุกคนน่าจะเคยได้ดู

แต่ครั้งนี้ ลองมาดูแบบเข้าใจเนื้อหากันบ้าง

มันเลยทำให้ส้มอยากที่ทำอะไรเพื่อตอบแทนสังคมบ้าง

ถ้าใครติดตามส้มทาง Facebook  ส้มได้ร่วมทำโครงการบริจาคเลือดกับป้าพิม Beauty Blogger

ที่ส้มรักเหมือนพี่สาวอีกคน

และร่วมกับแบรนด์เครื่องสำอางค์ต่างๆ ที่ต้องการทำกิจกรรมตอบแทนสังคมร่วมกัน

ซึ่งในการบริจาคเลือดแต่ละครั้ง ผู้ที่มาร่วมนอกจากจะได้ทำบุญแล้ว ก็ยังจะได้ของที่ระลึกจากแบรนด์ต่างๆ

ที่นำเอามาร่วมแจกให้กับผู้ทำกิจกรรม เป็นการตอบแทนเล็กๆน้อยค่ะ

เราเริ่มกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเลือดเราจะหมดตัว ฮ่าๆๆๆ

(เข้าไปดูรูปกิจกรรม ครั้งที่ 1 , ครั้ง 2 , ครั้งที่ 3 , ครั้งที่ 4 ได้เลยค่ะ)

 

ส้มก็จะชักชวนแฟนเพจมาร่วมบริจาคเลือดด้วยกันที่สภากาชาดไทย

ซึ่งครั้งต่อไปจะเป็นวันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม 2557

ถ้าใครสนใจก็ลองติดตามส้มได้เรื่อยๆนะคะ แล้วใกล้ๆวันจะประกาศที่หน้าเพจเพื่อเปิดลงทะเบียนค่ะ

https://www.facebook.com/BeautyByOrangina

แล้วพระอาจารย์ก็ได้เข้าเรื่อง ที่ทำให้ส้มน้ำตาแตก น้ำมูกไหลกระจาย  นั่นก็คือเรื่อง “พระในบ้าน” 

พระในบ้าน ในที่นี้ก็คือ พ่อและแม่ ผู้ให้กำเนิดเราทุกคนขึ้นมานี่เอง

10313868_10201107837938584_2219020846534606429_n  10264422_10201107842298693_9031504306916821865_n

พระอาจารย์จะมีเรื่องราวผ่านวีดีโอ ที่ได้เลือกมาลำดับขั้นตอน ค่อยๆสอนเราให้เรารู้จักพระคุณพ่อแม่

ยกตัวอย่างคลิปโฆษณาอันนี้  ดูแล้วน้ำตาคลอทุกที

อยากให้ทุกคนตระหนักถึงความรักของพ่อแม่ที่มีให้เรา บางทีเราอาจจะมองข้ามไป

อันนี้เป็นแค่ สื่อ ส่วนหนึ่งที่พระอาจารย์นำมาบรรยายและสอนควบคู่กับวีดีโอเหล่านี้

หลังจากนั้นพระอาจารย์ก็จะให้เราหลับตาลง แล้วก็นึกถึงสมัยที่เราเป็นเด็กตัวเล็กๆ

พ่อแม่คอยดูแลเรามาอย่างไร พอเราโตมา เรามีงานทำ เราย้ายมาอยู่ในกทม

เราเคยหันหลังกลับไปดูแลท่านบ้างไหม ว่าท่านจะอยู่กันยังไง

 

บางทีพ่อแม่โทร เพียงแค่ถามว่า “ลูกกินข้าวหรือยัง”

เป็นเพียงเพราะท่านแค่อยากจะบอกเราว่า “พ่อรักลูกนะ แม่รักลูกนะ”

บางทีเราไม่เคยใส่ใจเลยด้วยซ้ำ

 

เคยไหม… ที่เราโกรธหรือไม่พอใจ แล้วเราพูดจาตะคอกใส่ท่าน

เคยไหม….ที่เราเคยเดินกระทืบเท้าปึงปังขึ้นบันไดบ้าน ปิดประตูห้องดังๆ

 

สิ่งต่างๆที่เราเคยทำ เคยพูด…. มีสักครั้งมั้ย ที่เราจะหันไปมองดูสีหน้าท่าทางของพ่อแม่

ว่าท่านเป็นอย่างไร….เชื่อว่า หลายคน ไม่เคย

ลองคิดในมุมกลับกัน ใจเขาใจ เรา ถ้าหากเราเป็นพ่อแม่ล่ะ รักลูกสุดดวงใจ เลี้ยงมาอย่างดี

แต่จู่ๆ พอเราโตขึ้นมา ภาพที่น่ารักของเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ มันกลับหายไป

โตมา ก็คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ อวดดีกับพ่อแม่ เคยคิดมั้ยว่าถ้าเรามีลูก แล้วลูกพูดจาไม่ดี

ทำกิริยาไม่ดีใส่ เราจะรู้สึกอย่างไร ..

พ่อแม่ มักจะเห็นเราเป็นเด็กตัวเล็กๆที่น่ารัก  เพราะพวกเราน่ารักไร้เดียงสากันจริงๆ

เหมือนผ้าขาวที่บริสุทธิ์  ไม่แปลกใจทำไมความทรงจำของพ่อแม่ จึงมักที่จะนึกถึงลูกสมัยยังเด็กแล้วมีความสุข

 

วันนี้พวกเราโตแล้ว.. ลองคิดทบทวน ลองหลับตาดูตั้งแต่เราจำความได้

ว่าเราทำอะไรให้ท่านบ้างแล้วหรือยัง?

พ่อแม่ไม่เคยต้องการเงินทองจากลูก แต่ต้องการให้ลูก เป็นลูกที่น่ารัก

ลูกที่ทำตัวเป็นคนดี มีเวลาอยู่กับท่าน ดูแลท่าน นั่นก็สุดยอดแล้ว

 

อะไรก็ตามแต่ ที่มันผิดพลาด ไปแล้ว ก็ช่างมัน ถือเป็นบทเรียน เป็นประสบการณ์ที่สอนให้เราไม่ทำมันอีก

ตัวส้มเอง ก็เป็นลูกที่เคยพูดจาไม่ดี เคยกระทืบเท้า ปิดประตูห้องดังๆ เวลาที่ทะเลาะกับพ่อแม่

เคยทำให้พ่อแม่เสียใจ แต่ ณ ตอนนั้น เราก็รู้นะว่าพ่อแม่เสียใจ แต่เรายังไม่เข้าใจลึกซึ้ง

เหมือนตอนทีได้มาปฏิบัติธรรมเลย… ไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดยังไง

ส้มแค่อยากให้ลูกๆทุกคน  เข้าใจถึงหัวอกพ่อแม่ และักพ่อแม่ให้มากกว่านี้

เพราะเราไม่รู้หรอกค่ะว่า เมื่อไหร่จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตท่าน

หรือแม้แต่ตัวเราเอง อายุน้อยกว่า ไม่ได้แปลว่าจะตายช้ากว่า

ไม่มีใครล่วงรู้อนาคต

 

ถ้าหากเรารู้ว่า “วันนี้เป็นวันสุดท้ายของพ่อแม่”  

เราจะยังทำไม่ดี พูดจาไม่ดี กับท่านอยู่มั้ย….ลองคิดดู

เวลาและคำพูด มันไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้แล้ว

ไม่อยากให้พวกเรามานั่งเสียใจทีหลัง

ว่าตอนนั้น เราไม่น่าพูดแบบนั้นกับพ่อแม่เลย

เราไม่น่ากระทืบเท้าใส่ท่านเลย ถ้ามันเป็นวันสุดท้ายของพ่อแม่จริงๆ

เราไปขอโทษขอขมาต่อหน้าโลงศพ มันคงจะไม่เกิดประโยชน์อะไรแล้วจริงมั้ย?

 

ต่อไปนี้..อยากจะให้ทุกคน ระลึกถึงวันสุดท้ายของชีวิตเอาไว้

เพราะถ้าเราระลึกเอาไว้อยู่ตลอด มันจะทำให้เราทำและคิดแต่สิ่งดีดี ต่อตัวเองและต่อคนอื่นๆ

เกิดอะไรขึ้นมา เราจะได้ไม่เสียใจทีหลัง   ทำอะไรก็ทำให้มันเต็มที่ ทำแต่สิ่งดีดี

ที่ทำให้ตัวเองนั้นมีคุณค่า และ ตัวเราก็ควรที่จะมีคุณค่าต่อผู้อื่นด้วย

 

ตั้งแต่ปฏิบัติธรรมมา ส้มคิดถึงความตายตลอดเวลา แม้ลึกๆก็ยังรู้สึกว่าน่ากลัว

แต่ตอนนี้ ส้มรู้สึกว่า เมื่อไหร่ที่เราตายไปมันน่ากลัวกว่า

เพราะว่า…เราไม่รู้เลยว่า ตายไปแล้ว เราจะไปเจออะไร

เราจะได้เกิดใหม่หรือเปล่า ถ้าเกิดขึ้นมา ชาติหน้าเราจะเกิดเป็นอะไร

ส้มว่ามันน่ากลัวกว่า ความตายเสียอีก

 

เพราะฉะนั้น…จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เวลาทุกนาทีมีค่า ให้ทำวันนี้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิตเรา

มีสติในทุกขณะ คิดดีทำดีกับตนเองและผู้อื่น 

 

และในฐานะที่เราเกิดมาเป็นคนไทย นับถือศาสนาพุทธแล้ว

หาเวลามาปฏิบัติธรรมกันบ้างนะคะ แล้วเราจะเข้าใจหลักของศาสนา

และนำสิ่งที่เรียนรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน  วันนี้เริ่มต้นที่ตัวเองก่อน

แล้วนำไปสู่ครอบครัว และส้มเชื่อว่า ถ้าทุกคนได้เข้าใจตัวเอง ได้เห็นใจของตัวเอง

สังคมบ้านเรา จะน่าอยู่กว่านี้หลายร้อยหลายพันเท่า

 

หากมีโอกาส ไปปฏิบัติธรรมด้วยกันนะคะ…

เพราะการที่ได้มาอ่านแบบนี้จากสิ่งที่ส้มเขียน มันก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

เหมือนส้มไปดูคอนเสิร์ตมา แล้วมาเล่าให้ฟัง มันก็คงไม่ได้รับรู้ถึงอรรถรสและบรรยากาศของคอนเสิร์ตแน่นอน

จึงอยากจะให้ทุกคนได้ลองไปสัมผัสและศึกษาดูด้วยตัวเอง รับรองว่า ทัศนคติคุณจะดีขึ้น

ชีวิตก็จะดีขึ้นค่ะ

 

อนุโมทนาบุญจากการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ด้วยนะคะ

ผลบุญที่ทำมาขอน้อมแด่ผู้อ่านทุกท่านค่ะ…สาธุ

Leave a comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Prev Post Next Post